the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Wednesday, May 31, 2006

คิดถึงขึ้นมา...เท่านั้นเอง

สองวันก่อน ไปเจอคนที่ทำให้หวนไปนึกถึงเรื่องราวอุ่นๆ สมัยยังร่ำเรียนอยู่ม.ปลาย
เขียนตอบเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว อยากจะนำกลับมาบันทึกเพิ่มเติม
เก็บไว้ดีๆ อีกสักหนในนี้
......

จากสมัยเรียนม.ต้นนั้น
โรงเรียนของผมมีแต่เด็กผู้ชายเป็นเพื่อนร่วมชั้น
พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นกันมากที่ปีแรกของม.ปลาย จะมีสาวๆ มาเรียนด้วย
ชีวิตแปลกใหม่เดินทางเข้ามาทายทัก
ความเป็นหนุ่มสาว กระตุ้นให้เราต่างมีพลังกระทำในเรื่องมากมาย
ผมไม่ได้สนิทกับเธอในปีแรกที่เรารู้จักกัน ช่วงนั้นผมยังไปแอบชอบสาว
ต่างโรงเรียน (ที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนในจังหวัดเดียวกัน)
เราเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งห่างกัน

ผมจำไม่ได้ว่าเราเริ่มคุยกันมากขึ้นเมื่อไหร่...
แต่คลับคล้ายว่า วันหนึ่งเธอโทรมาที่บ้าน
เพราะรู้ว่าผมมีเทปเบิร์ดกะฮาร์ทในอัลบั้มก่อนหน้าชุด "จากกันมานาน"
ผมไม่รู้ว่าเธอรู้หมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านของผมได้อย่างไร
แต่เรื่องเพลง "เพื่อนกัน" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลังจากนั้น...

จากวันนั้นเรื่องราวมากกมายเดินทางผ่านสายโทรศัพท์ถึงกัน
ผมกับเธอกลายเป็น"เพื่อนสนิท"
ที่แตกต่างจากเพื่อนสนิทผู้ชายที่ผมเคยมีมาก่อนหน้า...

นับจากวันที่เธอโทรศัพท์มาครั้งนั้น
ทุกวันจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านของเธอและของผมสลับกันไป
โดยที่ไม่ได้ทำข้อตกลงใดๆ เพียงแต่เสมือนรู้ว่า
วันนี้ฉันจะโทรไป และพรุ่งนี้เธอจะโทรมา
เรื่องราวเคลื่อนตามความสั่นไหวของสายโทรศัพท์
บ้านของเราอยู่ต่างอำเภอกัน แม้เราจะได้พบกันที่โรงเรียนทุกวัน
แต่ก็เป็นเพียงการพบหน้า แล้วยิ้มให้กันเท่านั้น
ทุกเรื่องที่สนทนาไม่พ้นจากเพลงของเฉลียง
เพลงของเบิร์ดกะฮาร์ทและเพลงอีกมากมาย
ผมจึงมีคาสเซ็ทไปกำนัลเธออยู่เสมอ ส่วนเธอมักมีหนังสือหลายเล่มมามอบให้อ่าน
ผมเริ่มอ่าน ว้าวุ่น แล้วคุยกับเธอ เธอชอบงานของปินดา โพสยะ
และกลายเป็นเราชอบงานของปินดา

เคยคิดไว้ในใจเสมอว่า หากมีคนถามว่าใครทำให้ผมรักการอ่าน
ผมจะมีชื่อของคนสามคนเป็นคำตอบของคำถามนั้น
คนหนึ่งคือ พ่อ คนหนึ่ง คือ พี่ชาย และคนหนึ่ง คือ เธอ

ผมว่าคุณหลายคนก็อาจจะเคยเป็น ที่เมื่อพบกับสิ่งใดเข้ามากระทบ
จะทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องราวอื่นๆ ตามมา
สำหรับผมแล้ว กลิ่นดินยามหลังฝนพรำ คือ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงเธอ
เธอเป็นคนแรกที่ได้อ่านเรื่องสั้นเกี่ยวกับฝน เพื่อนและโรงเรียนของผม
เราสนทนากันว่า ต่างชอบกลิ่นดินเช่นนี้
หลังจากนั้นกลิ่นดินลอยมาเมื่อไหร่ ภาพของเธอก็ยังกรุ่นอยู่เช่นนั้น
แม้เมื่อเวลาผ่านไป จะเลือนลางลงบ้าง
อาจเพราะทุกวันนี้ ผมได้กลิ่นดินน้อยเหลือเกิน...

ในการแข่งกีฬาสีปีหนึ่ง ผมพลาดในการเล่นวอลเล่ย์บอล ทำให้เส้นเอ็นที่ข้อเท้าพลิก
จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เพราะช่วงนั้นไม่มีคนในครอบครัวอยู่บ้าน
ข้อเท้าบวมใหญ่จนน่ากลัว หมอจับใส่เฝือกอ่อน
เพื่อนๆ พากันไปเยี่ยมและเธอก็ไปด้วย พร้อมดอกมะลิ
เธอนำรูปถ่ายอ่างเก็บน้ำใกล้บ้านของเธอมาให้ตามที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้า
และในนั้นมีรูปของเธอกับต้นตะบองเพชรที่บ้าน
ผมไม่เคยมีรูปเธอมาก่อน
เพราะเราพบหน้ากันแทบทุกวันอยู่แล้ว
แม้เธอจะบอกภายหลังว่า เธอเพียงนำมาให้ดูเท่านั้น
แต่แน่นอน ผมไม่คืน

ผมชอบเรียกเธอว่า "ยาย"
เพราะเธอมักชอบเม้มปากงุ้มจนไม่เห็นฟันเหมือนคนแก่ในเวลาที่คุยกัน
บ้านของเธอปลูกดอกมะลิในกระถาง บางครั้งเธอจะนำมาโรงเรียน
และบางครั้งผมจะพบมันอยู่ใต้โต๊ะเรียนสกปรกของผม
(นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งในภายหลังที่ใต้โต๊ะเรียนของผมสะอาดสะอ้านขึ้น)
ส่วนบ้านของผมเคยมีต้นจำปี แต่หลังจากย่าตายไปมันก็ไม่บานอีก
ทุกเช้าผมจึงต้องไปเก็บดอกจำปีจากบ้านตรงข้ามใส่กระเป๋าเสื้อไปโรงเรียน
พร้อมจดหมายน้อยที่เขียนขึ้นเมื่อคืนก่อน
บรรจงวางไว้ในมุมที่คนอื่นไม่เห็นง่ายนัก ใต้โต๊ะของเธอ

เราสื่อสารกันด้วยจดหมายน้อยจำนวนมาก
ส่วนใหญ่เป็นกระดาษชิ้นน้อยๆ ที่ฉีกจากสมุดส่งไปมาระหว่างเรียน
มีบางช่วงปิดเทอมที่เราห่างกัน แต่ก็ยังอาศัยจดหมายเขียนถึงกันทางไปรษณีย์
ชื่อในจ่าหน้าซองของผมคือ ฮาโตริ-โน้ต
เพราะเธอบอกว่า ผมชอบอยู่ๆ แวบหายไปแล้วก็แวบมา
ผมจึงวาดการ์ตูนรูปนินจาจมูกโตเป็นตัวแทนตัวเอง
ส่วนเธอเรียกตัวเองว่าต้นตะวัน
เธอชอบดอกทานตะวัน

ผมไม่รู้ตัวหรอกว่า ก้าวข้ามความรู้สึกของเพื่อนสนิทในวันไหน ช่วงเวลาใด
แต่มันก็เกิดขึ้นและดำเนินไปเช่นนั้นเอง

ของขวัญวันเกิดของผมในปีต่อมาจากเธอ คือ
กล่องดนตรีที่มีตุ๊กตาเซรามิกรูปคุณยายอยู่ด้านบน
เวลาของวัยหนุ่มสาวกระมังที่ทำให้เรื่องของเธอชัดเจนอยู่เสมอ
เพราะเมื่อระลึกถึงวันวัยที่ยังวิ่งเล่นบอลทุกเย็นกับเพื่อนในสมัยม.ปลาย
วันวัยที่มีความทรงจำสนุกสนานในแต่ละวัน
เรื่องราวอุ่นๆ ที่กลัดมาด้วยเสมอ คือ เรื่องของเธอ

เรื่องนี้ไม่ได้จบด้วยความสุขสมหวังอย่างที่ควรเป็น
ผมสอบเข้าเรียนต่อได้ในมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ
แต่คนละคณะ เธอได้เรียนในสายวิชาที่ไม่พึงพอใจนัก
เราสัญญาว่าจะคอยดูแลกัน
เพราะเธอต้องจากเพื่อนๆ ผู้หญิงคนอื่นในกลุ่มของเธอ
แต่ผมก็ผิดที่ไม่อาจรักษาสัญญาได้
การเรียน การรับน้อง และงานที่มหาศาลทำผมเดินทางห่างออกไป
เรายังคงร่วมกิจกรรมในฐานะของคนที่มาจากจังหวัดเดียวกัน

จนกระทั่งมีทติ้งจังหวัดที่ขุนตาน
ผมเป็นส่วนหนึ่งในการเลือกสถานที่
และครั้งนั้นเป็นการเดินขึ้นดอยที่ทำเอาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลม
เธอบ่น โมโห และโกรธเคือง ผมเสียงดังใส่
ผมทะเลาะกับเธอรุนแรงอย่างที่ไม่คิดจะเป็นได้
(ที่จริงก่อนหน้านั้นคล้ายกับมีกำแพงใสๆ กั้นเราไว้มาระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อพบหน้าก็คล้ายไร้ถ้อยคำกล่าวเสมอมา เราห่างกันไปโดยไม่รู้ตัว)
การพูดคุยครั้งแรกในรอบหลายเดือนจึงกลายเป็นการทะเลาะกัน
เหตุการณ์ครั้งนั้น เราอยู่ปีสอง

เราไม่ได้คุยกันอีกเลย
แม้จะพบหน้ากันบ้าง ท่ามกลางหมู่เพื่อน
ผมห่างจากเธอขึ้นทุกที ทุกที
ผมมีทิฐิของผม เธอก็มีของเธอ
ในช่วงวัยนั้น ผมถามตัวเองว่าทำไมเธอจึงเปลี่ยนไป
ไม่ใช่คนมองโลกแง่ดี งดงามอย่างที่ผมรู้จัก

เมื่อผ่านพ้นมาราวสองปี เธอใกล้จะเรียนจบแล้ว
ผมรู้สึกว่าเราจะต้องจากกันไปในฐานะเช่นนี้หรอกหรือ...

เพื่อนที่ผมเคยรักมากคนหนึ่ง
จะกลายเป็นเพียงคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือ?
ผมมองตัวเองในคำถามที่ผ่าน
เธอเปลี่ยนไปเพียงคนเดียว?
ผมเองด้วยสิ ผมเองด้วยที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เราต่างเติบโตขึ้นในมุมมองของชีวิตที่แตกต่างกัน
ไม่มีใครยืนยันความผิดถูกได้หรอก

ผมเป็นฝ่ายเริ่มทักและคุยกับเธอก่อน
ด้วยความรู้สึกว่า เราอย่าตายจากกันไป
โดยที่ยังมีความโกรธต่อกันเช่นนี้เลย
เธอยังตอบเพียงเท่าที่จำเป็นในทุกคำถามของผม
เท่านั้นก็คงพอแล้วสำหรับผม

เรากลายเป็นคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ใจผมยังมีเธอเป็นเพื่อนสนิท
คิดถึงเธอทุกครั้ง
ช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิต ในเวลาต่อมาหลายครั้ง
ผมจะเขียนจดหมายไปถึงเธอที่บ้าน
รายงานว่าขณะนี้ทำอะไรอยู่ และกำลังจะทำอะไร

ไม่มีจดหมายตอบจากเธอ อาจเพราะผมไม่ได้ลงที่อยู่ไว้ให้
(แม้จะหวังว่าเธออาจจำที่อยู่เดิมเมื่อสมัยม.ปลายของผมได้)

ทุกวันนี้ผมยังเก็บจดหมายน้อย รูปภาพ ของขวัญ
และทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอไว้ในกล่องความทรงจำอย่างแน่นหนา
เก็บไว้กับเรื่องราวความทรงจำต่างๆ ในสมัยเยาว์วัยที่บ้านเกิด

ป.ล. ผมยังจำได้ถึงข้อความที่ผมเขียนให้เธอหลังจากเราทะเลาะกันอย่างรุนแรง
ข้อความที่ผมรังเกียจที่จะจดจำ แต่ผมจำได้
ผมเขียนว่า

"..หากเริ่มต้นยังมีทรงจำแห่งการรู้จัก
เมื่อถึงวันแปลกร้างก็ควรมีการล่ำลา
หากมันทำลายมิตรภาพแสนดี ฉันมีเพียงคำขอโทษทำได้
แม้สุดท้ายเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
แต่อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกัน ไม่นานมา...
อย่าละเลย... หลงลืม... ความฝัน..."


.......

จบเรื่องที่ทำเอาอยากเขียนจดหมายถึงเธออีกครั้งแล้วครับ ^^

คืนที่บันทึกข้อความนี้อีกหน ฝนก็ตก
แต่ผมไม่ได้กลิ่นดินจากเมืองหลวงแห่งนี้เลย
คิดถึงขึ้นมา...เท่านั้นเอง

Saturday, May 27, 2006

อาลัย

โลกหมุนไปอย่างเดิมเช่นที่ผ่านมา, จริงหรือ?

รอบตัวมีเพื่อนฝูงที่ป่วยไข้ รอบตัวมีธรรมชาติถูกทำลาย
รอบตัวมีมาม่าและขยะที่ผมสร้าง รอบตัวมีข้อตกลงทางการค้าหมกเม็ด
รอบตัวมีทุนใหญ่โขกสับทุนน้อย รอบตัวมีความรุนแรงมากมาย
รอบตัวมีร้านค้าต่างชาติที่ผมไม่ตะขิดตะขวงใจจะเดินเข้าไป
รอบตัวมีปัญหาที่ลืมมองว่ามาจากตัวเอง รอบตัวมีสุนัขจรจัด
รอบตัวมีเพนกวินที่บ้านของพวกมันลดน้อยลง รอบตัวมีข่าวน้ำท่วม
รอบตัวมีข่าวโหดร้ายของคนฆ่ากัน มีสงครามในพื้นที่ของโลกเดียวกัน
กับความรุนแรงอีกมากมาย

เพื่อนเจ็บป่วย
ผมก็เจ็บป่วย
คุณก็อาจเจ็บป่วย
เราต่างเป็นคนป่วยไข้
ในโลกใบเดียวกัน
ในจักรวาลที่ไม่รู้ขอบเขตเช่นกัน

โลกหมุนไปอย่างเดิมเช่นที่ผ่านมา, จริงหรือ?
ไว้อาลัยให้ความป่วยไข้ภายในสักระยะครับ

Wednesday, May 24, 2006

๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙

ยีน! กินข้าว!
ทำการบ้านหรือยัง?
อ่านหนังสือได้แล้ว
ไปถูบ้าน!
อาบน้ำหรือยัง? ไปอาบน้ำได้แล้ว!
ไปแต่งตัว พ่ออาบน้ำเสร็จแล้ว
อ่านหนังสือแล้ว จะได้สอบเข้าได้
เกรดออกหรือยัง? เอามาดูสิ
เพื่อนคนเมื่อกี้ ชื่ออะไร? บ้านอยู่ไหน? ลูกใคร ?เรียนเก่งไหม?
จะออกไปไหน? กลับมาก่อนเที่ยงคืนนะ
อย่ากลับดึกนะลูก
ไปเที่ยว? มีใครไปบ้าง? ไปยังไง?
อย่าไปยุ่งที่เขาตีกันนะ
ลูกครูแอ๊วเขาเก่งอย่างนู้น ดีอย่างนี้
ไปอ่านหนังสือได้แล้ว
ดีใจด้วยลูก เรียนให้จบนะ
เกรดออกหรือยัง จะจบไหมเนี่ย
ทำไมพกไฟแช็ก สูบบุหรี่หรือเปล่า
อย่าไปกินเหล้ามากนะ
ทำไมเกรดน้อยอย่างนี้ ตั้งใจเรียนหน่อยสิ

(ครับ..............บ!!!)

ทำเรื่องเรียบร้อยหรือยัง
เหลืออีกกี่ตัวน่ะลูก ไอ้เบินเรียนจบหรือยัง แล้วนัทละ ป๊อปลูกอาจารย์พัฒนา....
มีแฟนหรือยัง ตั้งใจเรียนนะ
สงกรานต์นี้กลับบ้านหรือเปล่า
ปิดเทอมนี้กลับบ้านหรือเปล่า
ทำไมไม่โทรกลับบ้านบ้าง มีเงินใช้ไหม
จะไปโบกรถคนเดียวเหรอ พักอย่างไง มีที่ให้กางเต้นท์?
อยากบวชไหมลูก
ซื้อใบสมัครหรือยัง
มีคนมาสอบเยอะไหม ได้กี่คน เปิดเทอมเมื่อไหร่
มีแฟนหรือยัง เขาให้เงินเดือนเท่าไหร่
เหลือวิชาเรียนอะไรบ้าง
อย่าไปสูบบุหรี่นะ เสพยาหรือเปล่าเนี่ย
ถ้ามีตังค์มากพอจะเอาซื้อมาสูบเหรอ
อย่าเอาอย่างพี่นะ ต้องหาคนที่ช่วยเราทำงานได้
อย่านะ อย่านะ อย่านะ
เมื่อไหร่จะเรียนจบ จบเทอมนี้ไหม
ทำวิทยานิพนธ์ไปถึงไหนแล้ว ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาหรือเปล่า
งานที่ช่วยอาจารย์เสร็จหรือยัง เรียนให้จบก่อนนะค่อยมี
เห็นไหมว่าพี่แก ลำบากต้องทำงานอยู่คนเดียว ต้องเลือกนะ
เอาที่เรียนสูงๆ จะได้ช่วยกันทำงานได้ ไม่ใช่ให้เหนื่อยอยู่คนเดียว
เมื่อไหร่จะเรียนจบ ทำวิทยานิพนธ์บ้างไหม จะเรียนให้จบเมื่อไหร่
เขาเปิดรับสมัครไปลองถามข้อมูลดูนะ สมัครไว้ก่อนก็ได้
อย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย เรื่องการเมือง
กินข้าวหรือยัง อย่ากินเยอะนะ เมื่อไหร่จะเรียนจบ
พี่เขาจะเรียนต่อแล้วนะ ต้องใช้เงิน สงกรานต์นี้จะกลับบ้านไหม
ตั้งใจเรียน อย่าเพิ่งไปทำเขาท้องนะ

......
ผมไม่รู้อีกกี่ถ้อยคำที่แม่จะซัดใส่ชีวิตของผม
จากเรื่องนั้น ไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง และอีกหลายๆ เรื่อง
แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเติบโตขึ้นมากแค่ไหน
เรื่องการงาน เรื่องคู่ครอง เรื่องครอบครัว เรื่องลูกหลาน ฯลฯ
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ระยะห่างของแม่และผมไม่เคยลดน้อยลง
ผมยังคงเป็นเด็กที่แม่จะบ่นบอกด้วยความหวังดีเรื่อยไป
ไม่ว่าผมจะเบื่อหน่ายและทำหน้าหงุดหงิดเพียงใดก็ตาม
เสียงจากหญิงร่างเล็ก ที่ผมหงอกขาวมากขึ้นทุกวัน
ผู้หญิงคนเดียวกับที่นอนหลับไปอย่างเหนื่อยล้าและเปลี่ยวเหงา
หน้าจอโทรทัศน์ในทุกคืน ขณะที่ลูกชายของเธอไม่ได้โทรไปคุยด้วย
ผู้หญิงที่ผมรู้สึกว่า เธอตัวเล็กกว่าเดิมจากความทรงจำวัยเด็ก

สุขสันต์วันเกิดครับแม่!

ปล. แม่เกิดหลังพ่อหกวันในเดือนเดียวกัน
แต่เป็นหกวันในอีกแปดปีให้หลัง...
ทุกวันนี้ผมยังแซวพ่ออยู่เลยว่า
พ่อจีบเด็ก ^^

Monday, May 22, 2006

ไม่มีแห่งไหนห่างไกลเกินนี้

แร, นี่เป็นวันเวลาสุดท้ายของขวบปี, เป็นช่วงเวลาพิเศษแห่งการเฉลิมฉลองที่ฉันสามารถอยู่ร่วมกับเธอได้, จงเรียนรู้ในสิ่งซึ่งฉันได้รับรู้มาจากบรรดาเจ้านกเพื่อนพ้องของเราเหล่านั้น. ฉันมิสามารถที่จะไปอยู่ร่วมกับเธอได้ ทั้งนี้เพราะฉันไปถึง ณ ที่นั้นเรียบร้อยแล้ว. เธอมิได้เยาว์วัยอยู่ เพราะเธอเองก็ได้เจริญเติบกล้ามาเรียบร้อยแล้ว, เพลิดเพลินไปเถิดในระหว่างช่วงชีวิตของเธอ ให้เหมือนกันกับพวกเราทุกๆ คน, ทั้งนี้ เพื่อความหฤหรรษ์แห่งการมีชีวิตอยู่.


เธอ ไม่มีวันเกิดหรอก ทั้งนี้เพราะเธอเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว, เธอไม่เคยได้ถือกำเนิดมาเลย, และเธอเองก็จะไม่มีวันตาย. เธอมิใช่ลูกของผู้คนที่ตัวเธอเองเรียกขานว่า บิดาและมารดา, แต่ผู้คนเหล่านั้นที่ร่วมชะตากรรมบนเส้นทางของความงดงาม ก็เพื่อจะทำความเข้าใจต่อสรรพสิ่งนั้นที่เป็นมา


ของขวัญทุกชิ้นจากมิตรสหายก็คือถ้อยคำอธิษฐานสำหรับความผาสุกของเธอ, และดังนั้นมันจึงอยู่กับแหวนวงนี้เอง.


ล่องลอยไปโดยอิสระและมีความสุขใจ โพ้นลิบไปยิ่งกว่าจุดเริ่มต้นของกำเนิด และฝ่าข้ามชั่วนิจนิรันดร์, ซึ่งเราได้ประสบกับมันแล้วในเดี๋ยวนี้ และปรารถนาอธิษฐาน, ให้คำพรเหล่านี้ได้สถิตอยู่ในใจของทุกคนซึ่งจักไม่มีวันเวลาที่สิ้นสุดลงเลย.
ริชาร์ด บาค : ประพันธ์
เรืองยศ จันทรคีรี : แปล
จากวรรณกรรมเรื่อง There's No Such Place As Far Away

ผมเผอิญพบหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกในห้องชมรมวรรณศิลป์ในมหาวิทยาลัย สมัยที่เรียนปริญญาตรีอยู่ หนังสือขนาดบางประมาณหนึ่งเซ็นติเมตรถูกเบียดบังจากหนังสือมากมายในชั้น ในเล่มมีภาพประกอบสีขาวดำขนาดใหญ่ ตัวหนังสือเสียอีกที่มีจำนวนน้อยหน้าจนเหมือนไม่มีอะไร ผมหยิบติดมือกลับหอพักมาอ่าน เพราะเห็นว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกับโจนาธาน นางนวลผู้ตั้งคำถามมากมาย หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่ามีหลายคำถามและคำตอบที่กระทบจับความรู้สึกที่มี อาทิ "ระยะทางมันแบ่งแยกตัวเราให้พรากจากหมู่เพื่อนฝูงได้กระนั้นหรือ? ถ้าคุณต้องการจะไปอยู่ร่วมด้วยกับแร, มันมิใช่ว่าคุณได้ไปถึง ณ ที่นั้นเสร็จสรรพแล้วหรอกหรือ?"

จนเมื่อได้พบอีกครั้งในร้านหนังสือเก่า จึงมีโอกาสพกติดกระเป๋าเดินทางบ้างในช่วงชีวิตที่ผ่าน

หลายประโยคอาจชวนให้ไขว้เขว้ในการตีความ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ผมชมชอบอานุภาพของความรู้สึกในการระลึกถึงกันในหมู่เพื่อน การเจริญเติบโต การมีอยู่ และรู้สึกว่าแม้ผมจะคัดลอกเนื้อหาตอนท้ายมาให้อ่านก่อน ก็คงไม่ทำให้ผู้อ่านที่คิดจะค้นหามาอ่านผิดอรรถรสไป เพราะหนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านเติบโตไปทีละหน้า ทีละหน้ากับคำถาม-คำตอบของเหล่าพ้องเพื่อนนก คุณจะได้พบความหมายเหล่านั้นแตกต่างจากผม เมื่อคุณค้นพบมันเอง

ผมรู้สึกดีเสมอที่ได้ระลึกถึงว่า
เพียงคิดถึงใครสักคน เราก็ได้อยู่ใกล้กันในความคิดถึงนั้นแล้ว
ผมไม่ได้นำแหวนที่นกฮัมมิ่งมอบต่อแรติดมาด้วย แต่คุณคงได้รับมันแล้ว^^

ปล. ผมฟังเพลง "Lover's Concerto"โดย "Kelly Chen"
ขณะที่เขียนข้อเขียนนี้ รู้สึกดีแท้เทียว (ว่าแต่จะบอกทำไมเนี่ย?)

Saturday, May 20, 2006

ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ รู้รอบตัว และ “ฝน”

เช้านี้ฝนไม่ตก

เช้าวันเสาร์แสนหอมหวานผ่านไปก่อนผมตื่นเสียอีก ค่าที่ตื่นมาก็เลยเวลาเช้าแล้ว มือคลำหารีโมตกดเปิด หูแว่วได้ยินเสียงการ์ตูนดราก้อนบอลตอนที่โงกุนสู้กับพิคโกโร่มาจากจอโทรทัศน์ แต่พอเปิดเปลือกตามากลับเป็นรายการแนะนำภาพยนตร์ เอ็กซ์เม็นทรี เดอะ ลาส แสตนด์ (X-men III : the last stand) ทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน ชงกาแฟออกมานั่งจดจ่ออยู่หน้าจอโทรทัศน์

ไม่รู้อะไรสร้างความสนใจให้มากขนาดนั้น ที่นอนยังคงยับย่น หมอนวางผิดทิศทาง ผ้าห่มกองไว้ไม่ได้พับเก็บ บนที่นอนมีหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดวางไว้ข้างหมอนสองเล่ม เป็นสองเล่มที่ทำเอาฝันแปลกๆ ในคืนที่ผ่านมา พอกาแฟหมดแก้วก็กลิ้งตัวลงซับถ้อยสนทนาของตัวการ์ตูนที่กลายเป็นภาพยนตร์ ในใจผุดประโยคเรียบง่ายคล้ายคำสั่ง “อยากไปดูเอ็กซ์เม็น อยากไปดูเอ็กซ์เม็น” (ขณะประสาทอีกส่วนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า “เงินล่ะ ไอ้นี่ !”)

ถามตัวเองทำไมชอบภาพยนตร์ไซ-ไฟที่สร้างจากการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่พวกนี้ ประเด็นมันอาจไม่ได้อยู่ที่ฉากตื่นเต้นอลังการ อาจเป็นปมในใจของตัวละครที่สร้างและซ้อนทับกันอยู่ หรืออาจเป็นปมในใจของผมเอง สมัยเด็กๆ โชคดีที่พี่ชายสนใจอ่านหนังสือ ผมเลยได้รับอานิสงส์ด้วย แม่อ่านสตรีสารและขวัญเรือน ส่วนพี่ชายมักมี ขายหัวเราะ เบบี้ ชัยพฤกษ์การ์ตูนและชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ติดมืออยู่เสมอ (ส่วนคนออกเงิน - ไม่พ้นพ่อ) ผมอาศัยมรดกพวกนี้อ่านเรื่องราวที่เลยพ้นจากห้วงเวลาตีพิมพ์แล้ว (รวมถึงบางครั้งบางทีก็อาศัยหนูจ๋า และสกุลไทยจากเพื่อนบ้านด้วย) เมื่อโตขึ้นอีกหน่อยพี่ชายก็เปิดช่องให้นิตยสารรู้รอบตัวเดินทางมาถึงบ้านอีกเล่ม

ผมเติบโตมากับหนังสือนิตยสารดังกล่าว และเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้อ่านอะไรมากไปกว่าเนื้อหาในส่วนของเด็กๆ บทวิจารณ์ภาพยนตร์ไซ-ไฟในรู้รอบตัว ข่าวสารสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ ผมยังจำได้ถึงข่าวคราวเรื่องดาวหางฮัลเลย์มาเยือนเมืองไทย ที่ทุกวันนี้ผมยังเสียดายไม่หายเพราะในปีนั้น ผมเด็กเกินว่าจะมองเห็นว่าดวงไหนคือดาวหางที่ว่า กว่าฮัลเลย์จะกลับมาอีกหน ผมก็คงสายตาแย่เกินไปหรือหมดลมหายใจไปแล้วก็ได้ ผมว่าอาจเป็นโชคดีที่บ้านผมไม่ได้นำนิตยสารเก่าไปชั่งกิโลขายเสียหมด เพราะเมื่อโตขึ้นมาในวันวัยมากกว่านั้น สมัยประถมห้า ประถมหก และม.ต้น ผมกลับไปอ่านนิตยสารดังกล่าวอีกหนและอีกหลายๆ หน อ่านทุกคอลัมน์ที่มีในเล่ม (ยกเว้นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) กระทั่งพบว่าผมตื่นตะลึงและสนุกสนานกับนิยายวิทยาศาสตร์ในชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ – รู้รอบตัว ผมนำนิตยสารทั้งสองเล่มมาวางเรียงตามวันที่และ พ.ศ. ค่อยๆเปิดอ่านไปทีละเล่ม หงุดหงิดขัดเคืองเมื่อบางเรื่องสั้นไม่จบในเล่มเดียว แถมเล่มต่อเนื่องก็หายไปเสียอีก

การตะลุยสนามจินตนาการของนักเขียนมากมายในช่วงวัยนั้น ทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักนามปากกานักแปลอย่าง ชัยคุปต์และนพดล เวชสวัสดิ์ ตื่นตะลึงกับจินตนาการท่องจักรวาล โลกเกิดมาจากหนไหน ใต้โลกลงไปมีอาณาจักรพิสดารที่ต้องยอมรับในเหตุผล การหลุดหล่นในจักรวาลพุ่งตกสู่โลกประดุจดาวตกดวงหนึ่งสว่างไสวเพียงวาบหนึ่งแล้วลาลับนิรันดร์ การหมุนเอนโทปรีกลับจะได้ผลเช่นใด รูหนอน การเดินทางย้อนเวลา การเคลื่อนยุคสมัยในความเชื่อของชาวอินคาโบราณ เมกะคอมพิวเตอร์ ปีกอวกาศ มนุษย์ต่างดาวหน้าเหมือนพระพรหม พล นิกร กิมหงวน ภาคจานบินแห่งประเทศสยาม ไดโนเสาร์มิได้หายไปไหน โพรนผู้นำหายนะสู่ผู้อยู่ใกล้เสมอ โลกไร้สรรพเสียงของมด อาวุธมหาประลัย ฯลฯ นอกจากนั้นในรู้รอบตัวยังมีนิยายนักสืบที่ทำเอาผมประทับใจในนิสัยกวนๆ แต่ฉลาดล้ำของตาเฒ่ากริสโวล์ในเรื่องสั้นชุด ยูเนี่ยน คลับ (Union Club) ของไอแซค อาซิมอฟ

ทุกวันนี้ผมยังเก็บนิตยสารที่เหลือใส่กล่องไว้อย่างดี เมื่อกลับไปบ้านบางครั้ง ก็จะนำมาเปิดอ่าน

ผมหยิบหนังสือที่ทำเอาฝันแปลกๆ เมื่อคืนมาเปิดดูอีกรอบ “หุ่นยนต์และอาวุธล้างโลก” และ “มนุษย์ต่างดาวกับสัตว์ยักษ์” ของ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล (หรือชัยคุปต์ในวัยเด็กของผมนั่นเอง) เมื่อวานนี้ ทั้งสองเล่มเกาะติดมือมาจากชั้นหนังสือในหอสมุดที่ไปเดินหาหนังสือมาทำวิทยานิพนธ์ แต่ได้หนังสือที่อยากอ่านมาแทนทุกที หนังสือสองเล่มนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงนิตยสารวิทยาศาสตร์ที่เคยอ่านเมื่อวัยเยาว์ทั้งสองเล่มข้างต้น แล้วคำตอบก็ผุดพรายขึ้นมาถึงความรู้สึกพิสมัยเอ็กซ์เม็น มนุษย์เป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตในโลกแล้วหรือ? เอ็กซ์เม็น มนุษย์กลายพันธุ์อาจเป็นปริศนาของปมในใจที่ผมอยากหาคำตอบ รวมถึงปมมโนทัศน์การแบ่งแยกผู้แตกต่างออกจากความเป็นเราคือพื้นฐานความคิดหนึ่งของมนุษย์จริงหรือ?

จักรวาล มนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาด หุ่นยนต์ ปริศนานิรันดร์ต่างโบกไม้โบกมือมาทายทักโลกภายใน จากคำถามเริ่มต้นบางประการของชีวิตที่ตกทอดมาถึงวัยเยาว์ของผม หนังสือการ์ตูนวิทยาศาสตร์เรื่องหนึ่ง จบเรื่องด้วยภาพของจักรวาลเวิ้งว้างกับคำบรรยายว่า

เป็นไปได้หรอกหรือ, ในทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไพศาลจะมีต้นข้าวเจริญงอกงามอยู่เพียงต้นเดียว?

ผมเริ่มต้นข้อเขียนว่า เช้านี้ฝนไม่ตก แต่ข่าวความรุนแรงในภาคใต้โดยสื่อของรัฐตามมาเล่นงานผมเมื่อใกล้เที่ยงวันจนได้ เรื่องความรุนแรงภาคใต้นั้นผมเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง แต่ส่วนหนึ่งผมก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สื่อสร้างให้เกิดความสะเทือนใจต่อผู้คนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ โดยการนำเสนอว่า มีความรุนแรงเกิดขึ้นต่อคุณครูที่ถูกจับเป็นตัวประกันอย่างไรบ้าง ภาพอาวุธเปื้อนเลือด ภาพผู้บาดเจ็บที่สูญเสียชีวิต ผู้คนสงสารและพากันโกรธเคืองผู้กระทำขึ้นทันที (ซึ่งผมก็เป็น) แล้วทุกครั้งที่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นการแบ่งแยกคนให้ต่างจากกันก็เกิดตามมา ทั้งๆ ที่มีการตายมากมายเกิดขึ้นทุกวัน แต่ไม่ได้เดินทางมาถึงหน้าจอโทรทัศน์และหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์เท่านั้น ส่วนตัวผมไม่ค่อยเชื่อในข่าวสารที่เดินทางมาถึงสื่อของรัฐเหมือนในวันวัยก่อน เพราะจากปากคำของเพื่อนหลายคนในภาคใต้มันต่างจากสื่อที่ผมรับรู้จนหม่นในใจ ผมไม่เชื่อการประกาศว่าเราเข้าถึงโครงข่ายของผู้ก่อการร้ายของ สสส.จชต. (หรืออะไรผมก็จำชื่อไม่ได้แล้ว แค่ชื่อหน่วยงานก็สร้างความสับสนแล้ว) จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีได้ ความขัดแย้งไม่ได้มีเพียงเหตุผลที่นำเสนอในข่าวสารของรัฐเท่านั้น หากยิ่งเราหันคมดาบใส่กัน ตาต่อตา ฟันต่อฟันจะนำไปสู่หนทางใด ผมไม่เชื่อเรื่องสงครามเพื่อสันติภาพ ข่าวคราวของครอบครัวรุ่นพี่หลายคนต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ทั้งที่ที่นั่นคือบ้านเกิดเมืองนอน แผ่นดินที่เขาเติบโตมา

ตราบเท่าที่เรายังมองว่าการไปถ่ายรูปร่วมกับกระเหรี่ยงคอยาวคือสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ภาคภูมิใจราวกับเป็นของแปลก มองไม่เห็นว่าเบื้องหลังนั้นวิถีชีวิตพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ตราบเท่าที่ยังเห็นว่าการพูดไม่ชัดแบบชาวพม่า ไทใหญ่คือเรื่องตลกขบขัน ตราบเท่าที่เรายังเชื่อว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอย ตัดไม้ทำลายป่าคือข้อสรุปของปัญหาป่าไม้หมดจากเมืองไทย ตราบเท่าที่เชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งต่างๆ สามารถแก้ไขได้ด้วยอาศัยเพียงผู้นำที่มีศีลธรรม กระนั้นก็เถอะ สุดท้ายผมอาจเข้าใจผิด บ่นบ้า และมองโลกแง่ร้ายไปเอง ว่า สังคมไทยไม่เคยยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างจากนิยามของความเป็นไทยโดยรัฐรวมศูนย์ และหลงอยู่ในภาพของความสงบสุขเสมอมา คิดได้เท่านี้ฟ้าก็ปิดมืดครึ้มทันที

ขอโทษเถอะ ตอนนี้ “ฝน” ตกหนักเหลือเกิน

ปล. เชิด ทรงศรี จากโลกไปในวันนี้ ผมไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่เคารพและชื่นชมผ่านตัวหนังสือและงานกำกับภาพยนตร์ของท่านเรื่อยมา ทราบข่าวเรื่องการป่วยเป็นมะเร็งมานานพอสมควร ได้มีโอกาสอ่าน “นั่งคุยกับความตาย” ยิ้มให้กับความเยือกเย็น ร่าเริง เข้มแข็งของท่าน ผมเองไม่ใช่คนในวงการภาพยนตร์ไม่ได้รู้สึกสูญเสียท่านในฐานะใด นอกไปจากที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ด้วยกัน คารวะครับ!

Thursday, May 18, 2006

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙


ผมตื่นนอนครั้งแรกจากนาฬิกาปลุกมือถือ หลังจากปิดเปลือกตากั้นโลกภายนอกไปได้สักสามชั่วโมง ก่อนที่จะจัดแจงที่นอนใหม่แล้วเข้าสู่ภวังค์ไป ขณะที่จอโทรทัศน์เริ่มทำงานอีกหน เมื่อคืนนอนดูบอลบาร์ซ่ากับอาร์เซนอลที่คิดว่าจะสนุกกว่านี้ (แต่เมื่อวานก็สนุกนะ) อาจเพราะเอาใจช่วยอาร์เซนอลอยู่ ทั้งๆ ที่เชียร์บาร์ซ่าน่ะนะ อยากเห็นการสร้างทีมที่ยังมีอองรีให้ทีมอื่นหวาดกลัวอยู่ จบลงอย่างที่ทุกคนคงรู้แล้ว อองรีคงย้ายทีม บอลอังกฤษคงกร่อยไปกว่านี้โดยเฉพาะยิ่งหากสิงห์บูลได้เชว่ามาอีกคน

ผมเริ่มต้นด้วยการบ่นตามนิสัย
มาตื่นอีกครั้งก่อนเสียงนาฬิกาจะกรีดปลุกเพียงสองนาที
ผมควานหาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ทั้งที่ตายังไม่ลืมเต็มที่

“.........”
“เออ ขอบใจมาก”
“ทำอะไรอยู่ครับพ่อ” ผมถามเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาต่างจากที่บ้าน
“อยู่อนามัย มานวด เมื่อคืนดูบอลแล้วปวดคอ ดูบอลหรือเปล่าล่ะ”
“ครับ ดูครับ พ่อปวดคอเหรอ”
“อืม ดูไปแล้วเผลอหลับคอคงเอียง กล้ามเนื้อปิดเลยมานวดหน่อย อยู่อนามัยเนี่ย”
“ครับ พ่อไม่มีอะไรหรอกครับ โทรมาบอกเฉยๆ”
“กรุงเทพฯ ฝนตกไหมล่ะ”
“ตกครับ พ่อ”
“เออ ดีแล้ว”
“พ่อมีความสุขมากๆ นะครับ แล้วดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”
“เออ....”

ผมวางโทรศัพท์แล้ว ท้องฟ้าวันนี้ยังปิดอยู่เช่นเคยเหมือนสองวันที่ผ่านมา ฝนที่พรำจากเมื่อคืนขาดช่วงไปแล้ว แต่ตะวันยังไม่สามารถหาช่องทางออกมาทำงานได้ ความขี้เกียจยังเกาะกุมเหนียวตัวให้ยึดติดกับที่นอนต่อไป ในใจคิดถึงว่า วันนี้ของเมื่อหกสิบสี่ปีก่อนมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ

เพราะผมอาศัยอยู่แถวสี่พระยาในทุกวันนี้ ทำให้ชวนคิดไปว่าเมื่อสักห้าสิบปีก่อนแถวนี้น่าจะเป็นชุมชนการค้าขนาดใหญ่ไม่แพ้กับศูนย์การค้าอื่นๆ ในปัจจุบัน ถนนสายเล็กๆ นี้เชื่อมต่อไปถึงตลาดน้อยและเยาวราช ร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งหน้าร้านเป็นแบบตึกแถวค้าขายเหลือเพียงไม่กี่ร้านที่ยังเปิดกิจการอยู่ หลายร้านนั้นปิดหน้าร้านเป็นการถาวรไปเสียแล้ว อาจมีเพียงป้ายร้านค้าที่ทำให้เห็นถึงอายุที่ล่วงเลยมานานกับข้อสังเกตของพื้นถนนที่สูงเกือบเอว ถ้าลงไปยืนบริเวณพื้นเดิมของพื้นร้านในสมัยก่อน ผมชอบไปเดินดูลายไม้ของประตูบานเฟี้ยมเก่าๆ และลายฉลุที่เหนือบานประตูขึ้นไป (ที่จริงร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกในเมืองไทยก็ตั้งอยู่บนถนนสี่พระยา หน้าร้านเก่าแก่ไม่ชักชวน แต่ก็อยู่ยงมานานเหลือเกิน) ผมเคยอ่านงานเขียนของนักข่าวเก่าในมติชนฯ เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว สำนักงานใหญ่โตของเขาก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้เช่นกัน

ทุกวันนี้ สี่พระยาเป็นเพียงถนนเส้นเล็กๆ ที่ตัดผ่านด้วยรถเมล์ตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่เหลือภาพของศูนย์การค้าขาย แต่ชุมชนมากกมายก็อาศัยถนนเส้นเล็กนี้เช่นเดียวกับชุมชนอีกมากมายที่เติบโตขึ้นในมหานครหลวงของประเทศ บริเวณที่ผมพักเต็มไปด้วยชาวต่างชาติทั้งชาวจีนสาวๆ ที่มาทำงานร้องเพลงและงานกลางคืน (ผมเดินสวนเข้าออกผิดเวลากับเธอเสมอ) ชาวอินเดีย และชาวแอฟฟาริกา ผมไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษ เพียงสังเกตเอาจากผิวพรรณที่ดำคล้ำเท่านั้น ชุมนุมของคนมากมาย แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุร้าย (ที่ผมไปรับรู้) เพราะอยู่หลังสถานีตำรวจบางรักก็ได้

หกสิบปีก่อน แถวสุโขทัยจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเองก็จินตนาการไม่ออก พ่อบอกว่าพ่อมาสุโขทัยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ถนนตัดไปกำแพงเพชรยังเป็นกรวดแดงอยู่เลย แม่น้ำยมเป็นเส้นทางขนไม้จากภาคเหนือ พ่อว่าฤดูน้ำหลากแม่น้ำยมเต็มไปด้วยซุงที่ลอยตามน้ำมาเสมือนแพขนาดใหญ่ ชาวบ้านสามารถกระโดด-เดินจากซุงหนึ่งไปซุงหนึ่งแล้วใช้สวิงตักปลาขึ้นมาได้ทุกครั้งที่ตักลงไป สุโขทัยขึ้นชื่อเรื่องปลาน้ำจืดไม่น้อยกว่าจังหวัดอื่น พ่อยังเล่าถึงภาพของต้นไม้ขนาดใหญ่ ป่าแถบบ้านด่านลานหอย บ้านเรือน มวนยา เหล้าต้มเองขาวใส และผู้คนที่พ่อตระเวนไปตามโรงเรียนเล็กๆ ของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งต่างออกมาอวลในความทรงจำที่สร้างร่วมไปกับเรื่องเล่า รู้แต่เพียงขณะนั้นคลองแม่รำพันยังไม่ถูกถนนหลายสายปิดกั้นเส้นทางเดินน้ำให้สิ้นสภาพลำคลองไป กระทั่งผมเติบโตมา ความทรงจำกระท่อนกระแท่นยังบอกว่าน้ำหลากผ่านคลองในซอยมีปลามากพอให้เด็กเล็กสี่ห้าขวบนำสวิงดักปลาเล่นได้

หกสิบสี่ปีก่อน ปู่ของผมยังคงทำนาอยู่ในจังหวัดแพร่ เรื่องราวนอกเหนือจากนั้นเลอะเลือนไปจากปากคำของพ่อ ปู่ตายตั้งแต่ก่อนพ่อจะพบกับแม่ด้วยซ้ำ ผมเคยพบปู่เพียงในรูปถ่ายงานศพของปู่ พ่อไม่เล่ามากนักเกี่ยวกับตัวปู่ว่าเป็นคนอย่างไร พ่อเป็นลูกชายคนโตของปู่ได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าลูกคนอื่น ปู่ขายนาทีละแปลงส่งพ่อเรียนจนจบ ปกศ.สูงในสมัยนั้น พ่อออกมาเป็นครูตั้งแต่อายุได้สิบเก้าปี เริ่มทำงานในโรงเรียนบ้านนอกที่ต้องเดินไปสอนในระยะทางเป็นสิบกิโลเมตร เดินตัดผ่านทุ่งนา ภูเขา (นึกถึงภาพตัวเองตอนที่ไปเดินตัดทุ่งนาในหุบน้ำเงา - แต่สมัยพ่อคงครึ้มและแตกต่างไปกว่านั้น)

เรื่องราวของหกสิบสี่ปีที่แล้ว ตกมาถึงความทรงจำของผมได้อย่างไรกันนะ หากไม่ใช่ตัวหนังสือในเรื่องเล่าจำนวนมาก (บางครั้งผมก็เกาะอาศัยครูมาลัย ชูพินิจเดินทางสู่ห้วงเวลานั้น) กับปากคำของพ่อ โลกอีกด้านอาจเดินทางมาไม่ถึงผม ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวว่า ความเป็นตัวตนและความทรงจำที่บรรจุเพื่อคัดสรรเลือกดำเนิน เปรียบเทียบ คัดแยก ในสมองผมนั้นส่วนหนึ่งหล่อเลี้ยงมาจากปากคำของพ่อ (ผมเคยเขียนเรื่องพ่อไว้ในนิทาน ๑ และ ๒ บ้างแล้ว) ผมจึงไม่ใช่คนที่มองโลกเห็นเพียงเท่าที่อายุให้โอกาส โลกของคุณทุกคนก็เช่นกัน เราต่างเป็นมรดกความรู้ของคนรุ่นก่อนหน้าที่ถ่ายทอดมาสู่ลมหายใจของเรา

หกสิบสี่ปีแล้วที่ผมรู้แน่ๆ คือ วันนี้เมื่อหกสิบสี่ปีที่แล้ว โลกมีลมหายใจของพ่อผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เติบโตและแบ่งปันความทรงจำจนวันนี้ในปัจจุบัน

ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ เพียงเพื่อจะบอกว่า “ขอบคุณครับพ่อ”

ปล. บทสนทนาในตอนต้นของข้อเขียนนั้น ในประโยคที่เว้นไว้ “.....”
ผมพูดไว้เพียงว่า “สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ”

Wednesday, May 17, 2006

ท่ามกลางทางสายเก่า

(๑)

ฉันแรมร้างบนทางอันว่างเปล่า
ค้นหาเงาถ้อยคำและความหมาย
ทางชีวิตเต้นเร้าอยู่เดียวดาย
วนเวียนว่ายความหมาย – ใครสักคน
มุ่งหน้าย่ำเดินตามแต่ใจคิด
บ้างชีวิตเดียวดายบ้างสับสน
ผ่านรายทางอ้างว้างบ้างร้อนรน
ผ่านระยะหมองหม่นมาคนเดียว
ถามหัวใจตัวเองอยู่ซ้ำ – ซ้ำ
ด้วยถ้อยคำเก่าเก่าบนทางเปลี่ยว
ฉันเต้นรำรอนล้าอยู่ดายเดียว
มีชีวิตขับเคี่ยวอย่างเปลี่ยวใจ

(๒)

หายใจออกถอดถอนแล้วย้อนกลับ
ได้แต่นับคืนวันที่หวั่นไหว
โลกภายนอกสะท้อนโลกภายใน
ฉันยังไปไม่ไกลไปจากเดิม
ทางชีวิตยาวไกลใยเว้นว่าง?
คล้ายระหว่างหัวใจรอใครเพิ่ม
รอผู้พักสนทนามาต่อเติม
แล้วก้าวเริ่มออกเดินพร้อมพร้อมกัน

(๓)

เธอ, สหายแห่งวันคืน
ผู้ชักชวนฉันตื่นสู่ความฝัน
ใช้ชีวิตหล่อเลี้ยงกันและกัน
และแบ่งปันคืนวันด้วยไมตรี
หนทางร้างกว้างไกลไม่เปลี่ยวเหงา
เมื่อมีเงาเธอทอดยาวในทุกที่
ยังรู้สึกได้ถึงว่าเธอมี
บนวิถีทางเดินที่ร้าวราน
ร่ำสุราสนทนาความใฝ่ฝัน
หัวเราะกันใต้ควันอันชื่นหวาน
หายใจเข้าความเศร้าคืนยาวนาน
แล้วเปลี่ยนผ่านร้าวรานเป็นแรงใจ
เธอ, สหายแห่งวันคืน
ผู้เป็นฝนฉ่ำชื่นฟื้นฝันใหม่
พร่างพรมรดอาบอุ่นละอองไอ
อยู่ภายใต้ความหมายที่ถักทอ
ทางชีวิตไม่ร้างไร้และไกลห่าง
ด้วยระหว่างหนทางแม้ทดท้อ
ยังมีเธอฉุดรั้งพยุงต่อ
ไม่หยุดรองอนง้อชะตากรรม
เธอ, สหายความหวั่นไหว
หวาดหวั่นใจภายในได้ล่วงล้ำ
เกินขีดข้ามโดยรูปการกระทำ
ต้องตอกย้ำตักเตือนเสมอมา

(๔)

ฉันแรมร้างบนทางอันว่างเปล่า
ค้นพบเงาของเธอตรงต่อหน้า
ร่วมเดินผ่านคืนวันกาลเวลา
บนเส้นทางรอนล้ามาด้วยกัน
จึงค้นพบความหมายของไออุ่น
ตามคืนวันโลกหมุนผ่านมานั้น
เมื่อได้รู้มีใครเดินข้างกัน
ความรู้สึกอุ่นพลันท้นท่วมใจ


(๕)

ทางชีวิตไม่แรมร้างและว่างเปล่า
วิถีเท้ายังเต้นเร้ายังเคลื่อนไหว
ไฟชีวิตยังเผาผลาญให้ก้าวไป
แม้ยังเดินไม่ถึงไหนเลยก็ตาม !!!



.............................................................

คลับคล้ายว่าเขียนงานชิ้นนี้เมื่อสามสี่ปีก่อน
แต่เมื่อมาอ่านดูในวันนี้ พบความจริงหลายประการ
ที่สะทกสะท้อนใจ เลิกบ่นแล้วหันมาสร้างงานกันดีกว่า

ขอกลับไปอยู่กับตัวเองให้มากละกันครับ
โชคดีกับเส้นทางที่แต่ละคนเลือกเดินนะ ^^

Thursday, May 11, 2006

ไม่ยอมแพ้กระแสฝน (AME NIMO MAKEZU)

ไม่ยอมแพ้กระแสฝน
ไม่ยอมแพ้กระแสลม
ไม่ยอมแพ้แม้หิมะฤาความร้อนของฤดูร้อน
ขอมีร่างกายแข็งแรง
ไม่มีความโลภ
ไม่มีความโกรธ
ยิ้มอย่างสงบอยู่เสมอ
กินข้าวกล้องวันละสี่ถ้วย
คลุกด้วยเต้าเจี้ยวและผักเพียงเล็กน้อย
ไม่เก็บสารพัดสิ่ง
ใส่ไว้ในความรู้สึก
ตาดูหูฟังอย่างเข้าใจ
จดจำไว้ไม่รู้ลืม
ขออยู่กระท่อมน้อยหลังคาใบหญ้า
ใต้เงาป่าสนใหญ่ใจกลางทุ่ง
ถ้าทิศตะวันออกมีเด็กเจ็บป่วย
จะไปช่วยดูแลให้
ถ้าทิศตะวันตกมีแม่ผู้อ่อนล้า
จะไปหาไปแบกฟ่อนข้าวให้
ถ้าทิศใต้มีคนใกล้ถึงความตาย
จะไปปลอบโยนให้คลายจากความกลัว
ถ้าทิศเหนือมีคนทะเลาะเบาะแว้งกัน
จะไปกั้นไปห้ามว่าหามีประโยชน์อันใดไม่
หากเกิดความแห้งแล้งจะหลั่งน้ำตา
หากหนาวสั่นในหน้าร้อนจะเดินพล่าน
ใครใครเรียกว่าเจ้าคนไม่ได้ความ
ไม่มีใครชมเชยไม่มีคนทุกข์ใจ
คนแบบนี้แหละที่ฉันอยากเป็น

มิยาซาวะ เคนจิ : ประพันธ์
พรอนงค์ นิยมค้า : แปล

"ไม่ยอมแพ้กระแสฝน
ไม่ยอมแพ้กระแสลม
.....

ใครใครเรียกเจ้าคนไม่ได้ความ
ไม่มีใครชมเชยไม่มีคนทุกข์ใจ
คนแบบนี้แหละที่ฉันอยากเป็น"

Tuesday, May 09, 2006

สนทนากับตัวเอง

“ฉัน- ฉันไม่มีความสามารถ!” เขาพูดในที่สุด ใบหน้าระทด ไร้สีเลือดเหมือนซากผี

บ. เองก็อดสะเทือนใจมิได้ เขากล่าวกับเยฟิมอฟ
“ฟัง, เยอเกอร์ เพโทรวิช แกกำลังทำอะไรกับตัวเอง? แกกำลังทำลายตัวเองไปกับความท้อแท้ แกไม่มีเลย – ไม่มีความอดกลั้นหรือความกล้า – ไม่มีเลยแม้แต่นิด พอแกเกิดความรู้สึกบีบคั้นขึ้นมา แกก็โทษตัวเอง ว่าไร้ความสามารถ ไม่จริง ความสามารถแกมี เชื่อฉัน ฉันเห็น หากแกจะหัดเข้าใจตัวเองและเข้าใจความรู้สึกต่อศิลปะเท่านั้น ฉันจะบอกให้ ชีวิตทั้งชีวิตของแกไง คือข้อพิสูจน์ได้อย่างดี

“ชีวิตแต่ก่อน แกเคยเล่าให้ฉันฟัง แกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ มันก็ทุกข์กล้ำกลืนไม่ได้ต่างกัน ครูคนแรก...คนประหลาดคนนั้น ที่แกเล่าถึงบ่อยๆ เขาปลุกความรักในศิลปะเป็นคนแรก และยอมรับในพรสวรรค์ของแกตอนนั้นแกมีความรู้สึกนี้อย่างแรงกล้า กับตอนนี้ แกกำลังท้อแท้เสียนี่ ซ้ำแกก็หาได้รู้ว่าต้นสายปลายเหตุมันเกิดยังไง แกทนอยู่ในที่ของเจ้าที่ดินไม่ได้ แล้วแกก็ใช่จะรู้ว่า แกต้องการอะไร – ตรงนี้แกไม่รู้ ครูคนนั้นตายเร็วไปหน่อยทิ้งแกให้ต้องจมอยู่กับความเลื่อนลอย มีแต่แรงบันดาลใจคลุมๆ เครือๆ ซ้ำร้ายยังไม่มีใครสอนให้แกรู้จักตัวเอง แกรู้อย่างเดียว แกอยากไปทางอื่น อยากไปทางที่เปิดกว้างกว่านี้ ทางที่จะทำให้ชะตามันเปลี่ยนไปได้ แต่แกไม่รู้วิธีจะให้บรรลุทางสายนั้น พอมีความกลัดกลุ้มเข้ามาประดัง แกพลอยชิงชังสิ่งรอบตัวไปเสียหมด ความยากจน ความขมขื่นที่ผ่านมาตลอดหกปี มันไม่ไร้ประโยชน์ดอก แกได้เรียนรู้ ได้คิด ได้รู้จักตัวตนและพลังในตัว มาบัดนี้แกก็ได้ใช้แล้ว ได้รู้แล้วทั้งศิลปะและทางชีวิตของแก

“เพื่อนรัก ขอแต่แกมีความอดทนและกล้าหาญ แล้วโชคชะตาอันแสนจะน่าอิจฉาเหนือกว่าฉันหลายขุมนัก พูดกันในแง่ศิลปินแล้ว แกเหนือกว่าฉันหลายร้อยเท่า แต่พระเจ้ากลับยื่นความอดทนให้แกเพียงหนึ่งในสิบของที่ฉันมี ! เรียนรู้เข้าไว้เถอะ เหล้ายาอย่าสนใจ อย่างที่เจ้าที่ดินซึ่งดีต่อแกเคยเตือนไว้ แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด ขอให้เริ่มต้นเท่านั้น – เริ่มตรงขั้นต่ำที่สุดนี่ล่ะ อะไรจะมาบีบคั้นแก ความยากจนหรือความคับแค้นรึ ? สิ่งนี้ต่างหากจะสร้างศิลปิน มันเป็นของที่คู่กันอย่างแยกไม่ออกมานานแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครต้องการแก ไม่มีใครอยากจะมาไยดี แต่สักวันเถอะจะถึงวันของแก

“จงอดทนคอย แกจะเห็นความแตกต่าง เมื่อทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถของแก ความอิจฉา หยาบช้า และที่ร้ายคือความเบาปัญญา มันเป็นภาระหนักหนาน่าท้าทายกว่าความยากจนมากมาย ความสามารถอย่างเดียวนั้นไม่พอ มันต้องมีการประนีประนอมเข้าอกเข้าใจเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย แล้วเมื่อถึงวันนั้น วันที่แกบรรลุถึงเป้าหมายไปได้สักส่วนหนึ่ง แกจะรู้ว่าคนที่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังแกเป็นพวกไหน ตอนแกเร่งปรุงแต่งตัวเองด้วยการฝึกปรืออย่างเคร่งครัด อดตาหลับขับตานอนอับจนหนทางและหิวโหย พวกนี้จะมองเป็นเรื่องทุเรศทุรัง มองอย่างเหยียดหยามไม่มีคำชม ไม่มีปลอบประโลมแก...นี่แหละ เพื่อนของแกในวันข้างหน้า คนพวกนี้ไม่มีวันชี้ให้เห็นว่าในตัวแกมีดีอะไร มีอะไรจริง ส่วนตานั้นจะคอยลุกวาวเฝ้าจับผิดหาข้อผิดพลาดมาซ้ำเติม มีแต่โพนทะนาว่า แกผิดตรงไหน พลาดตรงไหน และหากแกเกิดพลาดขึ้นมาจริงๆ หน้ากากของคนพวกนี้จะเปิดทันที เผยให้เห็นโฉม...หน้าที่แท้จริงของความไม่แยแสและรังเกียจเดียดฉันท์อย่างแท้จริง – เหมือนคนทั้งโลกจะทำผิดกันไม่เป็น

“แต่แกเป็นคนยโส ความลำพองของแก...มันไม่น่าจะมีอยู่ในตัว มันจะทำให้พวกไร้ชื่อ ที่ชอบโอ่ตัว รังเกียจแกเปล่าๆ...มันรังแต่จะสร้างปัญหาให้แกต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวท่ามกลางคนพวกนั้นซึ่งมีมากมายเหลือเกิน แกจะต้องทนทรมานกับคำเสียดสีของคนเหล่านี้ อย่าว่าเลย ฉันเองยังเคยเจอมากับตัว แกต้องใส่ใจเอาไว้เถอะ แกไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก แกยังมีมือมีแขน เพียงแต่แกไม่รู้จักไต่ไปจากงานต่ำ คิดหาทางไปทำงานเสียบ้างเถอะ งานอะไรก็ได้ ฉันยังเคยยอมไปเล่นในงานสโมสรของพวกชั้นต่ำ แต่แกไม่มีน้ำอดน้ำทนนี่ซิ มันเป็นโรคประจำตัวของแกอย่างหนึ่งเทียว ไม่มีคำว่าเรียบง่าย เอาแต่จะกะเกณฑ์ ในหัวมีแต่อย่างนั้นอย่างนี้วุ่นวาย แกเก่งมากเมื่อใช้ปากแต่จะหงอไปทันทีเมื่อต้องหยิบไวโอลินขึ้นมาชัก แกยโสแต่กลับเป็นคนท้อแท้ หัดรู้จักมีความกล้า มีน้ำอดน้ำทนและศึกษาเข้าไว้ หากเชื่อใจในพลังของตนไม่ได้ ก็จงศรัทธาในโชคเถอะ ทั้งไฟทั้งอารมณ์ศิลปินแกก็มีแล้ว แกอาจไปถึงเป้าหมายก็ได้ หากไม่เป็นดังคิด ก็จงปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคลิขิต แต่แกไม่แพ้หรอกไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เพราะการเดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ศรัทธาในโชคไว้เถอะ เพื่อนเอ๋ย มันมหัศจรรย์นัก !”

จากตอนหนึ่งในเรื่อง “เยฟิมอฟ ศิลปินผู้หลงตัวเอง”
ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ : ประพันธ์
พัชรินทร์ : แปล

พี่ที่รู้จักกันคนหนึ่งเคยเอ่ยประโยคสะท้อนใจว่า

เขารักที่จะเขียนจะอ่าน อยากเขียนหนังสือ แต่เมื่อนานวันเข้า
กลับพบว่าเขาเป็นเพียงนักอ่าน และเป็นได้เพียงนักอยากเขียนเท่านั้น


ประโยคนั้นตราตรึงในใจ กลัวว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็มิได้ต่างไปจากผู้รักการอ่านและเป็นเพียงนักอยากเขียนเท่านั้น ผมอ่าน เยฟิมอฟ ด้วยเห็นภาพสะท้อนอนาคตของตนเองหลายประการ เรื่องราวที่ ตัวละคร บ. ให้กำลังใจต่อเยฟิมอฟเสมือนเรี่ยวแรงของตนเองที่หันมาปลอบประโลมต่อตนเอง เข้าใจว่ามีผู้คนอีกมากมายที่มีความใฝ่ฝันจะเดิน จะแสวงหา และลงมือทำสิ่งที่วาดหวัง
แต่หนทางช่างห่างไกล และไม่อาจจินตนาการได้ว่า จุดหมายนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร ทอดอาลัยจนกระทั่งในสำนึกโพล่งประโยค “ฉัน – ฉันไม่มีความสามารถ!” ออกมา ผมเพียงรู้สึกว่าอยากให้หลายคนได้อ่านคำปลอบประโลมของ บ. ต่อเยฟิมอฟนี้ เผื่อกำลังใจและความยโสในความใฝ่ฝันจะคุโชน เกิดประกายแรงกล้าขึ้นมาอีกหน

เพียงสนทนากับตัวเอง ก็เท่านั้น...

Monday, May 08, 2006

ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย

แค่วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประกาศผลการพิจารณาว่าการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ 2 เมษา
ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้ประชนชนกลับไปสู่การเลือกตั้ง
ด้วยตัวเลือกเท่าที่มีอีกครั้ง

กกต. อาจต้องรับผิดชอบ โดยโดนถีบจากความสนิทสนมของรัฐบาล
อยากจะดีใจ แต่เศร้า
หวังว่าประชากร(ไม่ใช่ พรรคประชากรไทยนะ^^)คงจะต้องทำหน้าที่ตรวจเอง
มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ก็เท่านั้น

ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย *
(หยิบยืมจากประโยคสุดท้ายในเรื่อง "เวลา" ของน้าชาติ)

ปล.แล้วจะมาเขียนบางตอนจาก"เยฟิมอฟ"ที่ชื่นชอบให้ยล...วันหลังนะ
ปล. อีกหน ตกลงแล้วการเลือกตั้ง การยุบสภาอยู่ในอำนาจศาลไหม
ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ศาลมีอำนาจตัดสินเรื่องการยุบสภาได้
ไม่งั้นการยุบสภาทุกครั้งต้องมาถามความเห็นชอบของศาลก่อนเช่นนั้นหรือ
อำนาจของฝ่ายบริหารและตุลาการไม่เลื่อมล้ำกันเกินไปหรือ แล้วเหตุของปัจจัยการ
ตัดสินของศาลที่มีเหมาะสมแล้วหรือที่จะเพิกถอนการเลือกตั้ง ไม่ว่าการหันคูหาออก
การขอมติทางโทรศัพท์ การกำหนดวันเลือกตั้ง และการจ้างพรรคเล็กก็ตามเถอะ

อ่านบทความนี้สิ http://www.onopen.com/2006/01/552

Sunday, May 07, 2006

นิทาน ๒

เรื่องราวของเจ้าชายผู้กล้าหาญออกเดินทางจากบ้านที่ยากจนไปต่อสู้
และได้รับดาบวิเศษกับสุนัขคู่ใจ เจ้าชายต้องเดินทางไปต่อสู้กับมังกร
เพื่อช่วยเจ้าหญิง ระหว่างทางเจ้าชายได้ช่วยสัตว์ไว้สามชนิด (ขอโทษที
จำไม่ได้แน่ชัดว่ามีอะไรบ้าง) เข้าใจว่า มดและหอยแมลงภู่เป็นสองในสามชนิด
ที่เจ้าชายช่วยไว้ เพราะตอนหนึ่งนั้นหอยแมลงภู่มาช่วยเจ้าชายจากกระแสน้ำ
กลางมหาสมุทร และทำให้เจ้าชายได้พบกับเจ้าหญิงที่ถูกสาปเป็นไข่มุก
อยู่ที่ก้นทะเล ส่วนมดนั้นมีตอนหนึ่งที่ไข่มุกตกลงไปอยู่ในซอกหิน
ก็ได้มดมาช่วยขนออกมาให้

เราจำไม่ได้ชัดว่าเรื่องราวดำเนินแบบผูกปม คลี่ปมอย่างไร
และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่า นิทานเรื่องนี้จบลงอย่างไร เจ้าหญิงสามารถคืนร่าง
ด้วยวิธีการใด และเจ้าชายสามารถเอาชนะมังกรด้วยวิธีการใด
เพราะเทปคาสเซ็ทเสียงของพ่อนั้นจบลงก่อนที่นิทานเรื่องนี้จะเล่าจบ
อาจเพราะเช่นนี้ จึงกลายเป็นนิทานในดวงใจ
เราเติบโตมาในบางครั้งที่นึกย้อนกลับไป ก็จะนึกว่าเรื่องนี้จบลงเช่นไรกันนะ
ในวันวัยที่ต่างกัน คำตอบที่ได้ก็แตกต่างกัน เราพยายามหาซื้อ-อ่านนิทาน
หลายเรื่องเมื่อโตมาว่า มีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ในนิทานเรื่องไหนบ้าง
แต่ไม่เคยพบ
(ใครพอคุ้นๆ ช่วยสงเคราะห์ทีนะ)

เหนืออื่นใด คือ การบรรยายเรื่องราวในเทป พ่อบรรยายมังกรจนเห็นภาพ
ว่ามังกรมีเกล็ดสีเขียว โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ลำตัวใหญ่โตและเกล็ดนั้นสะท้อนเป็น
ประกายกับเปลวแดดที่ต้องลงมา หรือเห็นภาพรอยแยกของซอกหินที่
ไข่มุกร่างต้องสาปของเจ้าหญิงตกลงไป...

เราว่าหลายคนต้องเคยเป็นที่อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือฟังเรื่องเล่าที่ไม่จบ
ไม่รู้ว่าตอนจบเป็นเช่นไร ชีวิตอาจไม่ได้มุ่งมั่นตามหาทุกห้วงยาม
แต่เมื่อมีโอกาสหรือเดินเฉียดใกล้ความทรงจำเหล่านั้น
เราจะถวิลหาและตั้งตาจะค้นหาคำตอบที่หลงลืมมานาน
ซึ่งสุดท้ายอาจไม่พบคำตอบที่เราปรารถนา แต่กระนั้นขอให้มีความสุขกับ
จินตนาการต่อเติมที่เรามี และความทรงจำที่แหว่งโหว่อย่างที่เราเป็น

ไว้มีโอกาสกลับบ้านจะเอาเทปมาแกะนิทานที่พ่อเล่า ให้อ่านกันนะ

สวัสดี (ฮั่นแน่...จบแบบหนังไทยสมัยโบราณ)

Friday, May 05, 2006

นิทาน ๑

สมัยเด็กๆ มีความทรงจำประการหนึ่งเกี่ยวกับนิทาน (ทั้งที่จริงมีหลายประการ
หนนี้เลือกเล่าเรื่องหนึ่งล่ะกัน - สงสัยพักนี้คุยกับอิ๊กมาก คิดถึงตอนเด็กๆ เรื่อยเลย))
คือ เทปคาสเซ็ทเสียงของพ่อที่เล่านิทานใส่เทปไว้ให้ลูกเปิดฟังเอง
เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงที่ผมเองยังเด็ก และจำความไม่ได้ เพราะในนั้นมีเพียงเสียง
ร้องไห้รบกวนเวลาที่พ่อเล่านิทานให้ฟังอยู่ตลอดเวลา
กับเสียงพี่ชายที่แทรกมาบางช่วงว่า น่าเอาผมไปทิ้งในป่า
(โห โลกทัศน์วัยเยาว์ของพี่ชายผม)

นิทานเรื่องหนึ่งที่บันทึกเสียงในเทปคาสเซ็ทม้วนนั้น คือเรื่อง ลูกหมูสามตัว
ลูกหมูสามตัวของพ่อนั้นไม่เหมือนใคร เพราะเท่าที่ผมโตมาแล้วไปตามอ่านนิทาน
ตามที่ต่างๆ ไม่เคยพบวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นอบ่างพ่อเลย พ่อจะมีวิธีเล่าเรื่องโดย
เปลี่ยนเสียงของตัวเองตามตัวละครที่เล่าถึง เสียงของลูกหมูสามตัวก็จะอย่างหนึ่ง
เสียงของชาวนา ช่างไม้ ช่างปูนที่ให้อุปกรณ์ลูกหมูมาสร้างบ้านก็อยางหนึ่ง
แถมเสียงหมาป่าก็ยียวนกวนตามประสาตัวร้าย

ผมจำประโยคเด็ดต่างๆ ไม่ได้ชัดเจนนัก เพราะเทปคาสเซ็ทม้วนนั้น
ไม่ได้อยู่กับผมในตอนนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกว่าไม่สามารถหาอ่านจากหนังสือนิทาน
เล่มอื่นๆ เมื่อโตขึ้นมาไม่ใช่เสียงที่เปลี่ยนไปตามบุคลิกตัวละคร แต่เป็น
การเล่าเรื่องที่ผูกเป็นคำกลอนคล้องจอง ตอนหนึ่งที่ทำให้ผมยังจำได้มาจนบัดนี้ คือ

"น้องหมูจ๋า ข้างนอกร้อนนัก
ขอพักข้างใน ได้โปรดปรานีรับเราเข้าไป
เราจะขอบใจเจ้าให้สาสมมมมมมม(เสียงกังวาน)"


เสร็จแล้วไม่ว่าบ้านลูกหมูหลังไหนก็ไม่ยอมเปิดประตูให้หมาป่าซักหลัง
จึงโดนลมปากของหมาป่าเป่ากระจายไปเลย...
อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จำเรื่องราวเช่นนี้ได้จนวันนี้
ยังมีนิทานอีกเรื่องที่ผมไม่เคยหาอ่านได้จากที่ไหนอีกเลยเมื่อโตขึ้นมา
วันหลังจะเล่าให้ฟังล่ะกัน พอล่ะวันนี้

ป.ล. ถามอย่างสิ ตอนเด็กจำนิทานเรื่องไหนกันได้บ้างไหม?

Tuesday, May 02, 2006

เสม็ด เสม็ด เสม็ด

เวลานัดออกเดินทางคือ ตีห้าเช้าวันเสาร์
กว่าจะได้ออกเดินทางที่นับจากการปิดประตูรถ ปล่อยล้อหมุน
มุ่งหน้าสู่ตะวันออกนั้นก็เกือบแปดโมงเช้า

ตลอดทางท้องฟ้าปิด แดดหลบไปพักผ่อนวันหยุด
เส้นทางไกลๆ ข้างหน้ามีกลุ่มเมฆลอยต่ำสีคล้ำเข้ม จนออกม่วงและดำ
พวกเรา ไอ้เบิน ไอ้นัท จี๊ด และผมตัดสินใจเลือกเส้นทางหลบหนีจาก
ถนนตัดผ่านชลบุรี บางแสน และเมืองริมทะเลทั้งหลาย เพื่อไปสู่ระยอง
โดยไม่ต้องเผชิญกับรถติด หลังจากแวะกินก๋วยเตี๋ยวใกล้สิบโมง
บริเวณที่พักริมทางก่อนถึงบ้านบึง ร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีแต่นามบัตรของคนมากิน
กับคำชมที่เขียนติดไว้ แต่จากปลายลิ้นของผมเอง มันไม่ถูกปากเลยสักนิด

เมื่อตัดสินใจในเส้นทางแปลกหน้า ถนนที่ทำท่าจะไม่ใช่
แต่ในป้ายบอกทางบอกว่า ใช่ รถเลยวิ่งเข้าสู่บ้านคนในตำบลเล็กๆ
ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยเครื่องจักรทำงานก่อสร้างถนน
ไม่น้อยกว่าสามครั้งที่ต้องจอดรถเรียกความมั่นใจ
ในการเดินหน้าบนเส้นทางที่เลือกมาแล้ว จนกระทั่งถนนนั้นมาบรรจบ
กับเส้นทางสายใหญ่ ด้วยหนทางที่ผ่านมาทำให้ทุกคนลงมติว่า
ไปบนถนนเส้นใหญ่ดีกว่า
(ระหว่างนั้นมีแยกและเส้นทางลัดเมื่อดูจากแผนที่อยู่ตรงหน้าด้วย)

เพื่อนอีกคนทำหน้าที่เปิดแผนที่บอกถนนทางหลวง เทียบกับเส้นทางตรงหน้า
พวกเรามุ่งหน้าสู่ทางหลวงที่จะตัดเข้าสู่อำเภอปลวกแดงโดยพลัน
แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่รู้ว่าตัดสินใจเลี้ยวเลยจากเป้าหมายไปเมื่อไหร่
กลายเป็นต้องเลยตามเลย คราวนี้พาพวกเราไปสู่เส้นทางแปลกหน้าอีกหน
แต่เป็นเส้นทางที่สวยงาม เพราะตัดผ่านเนินเขาหลากหลายเนิน ผ่านสวนยาง
ร่มรื่นเขียวครึ้ม ที่ขับเน้นให้ท้องฟ้าทะมึนดูน่ากลัวมากขึ้น ฝนเริ่มโปรยเม็ดแล้ว
แต่ผมกลับชอบเส้นทางที่หลงมานี้มาก เหมือนกับพวกเราค้นพบถนนที่ใครบางคน
ถากถางไว้ ถนนที่มีเรื่องเล่าไม่มากมายนัก ผมถึงกับบอกเพื่อนว่า
...ไม่มีถนนที่เราหลงทาง มีเพียงถนนที่เราอ้อมไปเท่านั้น...

แต่ถนนเส้นนี้ก็ยังมีเรื่องตื่นเต้น เพราะมันกลายเป็นถนนที่กำลังก่อสร้างอีกเช่นกัน
แถมถนนยังตัดผ่านเนินเขาอีกหลายลูก บางช่วงมีถนนใช้เพียงเลนเดียว
ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่า หลังเนินข้างหน้ามีรถใดวิ่งทะยานโจนตัวเข้าใส่เราหรือเปล่า?
ตื่นเต้นเหมือนวันวัยที่เริงร่ากับรถไฟเหาะ กลายเป็นความสนุกมากกว่าจะมา
กังวลกับเส้นทางแปลกหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
พวกเราจะเฉา และกร่อยกับการเลือกที่ผ่านมาเพียงใด

หลังจากวิ่งเลาะริมหาดแม่รำพึง ค้นหาตลาดบ้านเพจนพบ
เราแวะหาอาหารรองท้อง ก่อนจะไปขึ้นเรือเวลาบ่ายโมง
แถมด้วยการเดินตลาดสดหาซื้อปลาหมึกและกุ้ง จะติดไปเผากิน
แกล้มเบียร์ที่ขนมา โอ้ บรรยากาศชายทะเลในฝันแบบชนชั้นกลวง
ข้าวของเริ่มเยอะขึ้น ผมซื้อปลาหมึกแผ่นทั้งแบบกรอบและเหนียว
สำหรับการเผชิญหน้ากับทะเล ยามตะวันลาลับ และยามเช้าสดใสพรุ่งนี้

แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ทยอยลงเรือออกจากชายฝั่งสู่เกาะเสม็ด
ชักภาพพอทำเนา ด้วยคำพูดที่ว่าเดี๋ยวที่เหลือไปถ่ายกันบนเกาะ
ต้องสารภาพประการหนึ่งว่าผมรู้จักเสม็ดครั้งแรก
สมัยยังเรียนอยู่ประถมหกเท่านั้น ครั้งนั้นความทรงจำบันทึกไว้ด้วย
เรื่องหาดทรายแก้ว ลงจากเรือโดยวิธีจอดเรือห่างจากฝั่งแล้วไต่ตาม
เชือกที่โยงเข้าชายหาด และตุ๊กแกในห้องน้ำ...
ครั้งนี้เสม็ดบรรจุความทรงจำใหม่ให้ผมเสียแล้ว

คุยกับลุงคนขับเรือขณะฝ่ากระแสคลื่น (ลุงแกใช้เท้าขับพวงมาลัย
ในบางจังหวะที่ชะโงกหน้ามานอกห้องขับด้วย) ถามถึงหาดที่สวยๆ
และน่าไปนอน ลุงแกแนะนำอ่าวพร้าวและอ่าวกิ่ว แต่พอบอกราคา
ที่พักผมก็ส่ายหน้าทันที คือ น่าจะตกคืนละ 7000 บาทเท่านั้นเอง
เรือค่อยๆ ฝ่าคลื่นเข้าใกล้ชายหาดทุกที จากบนเรือชายฝั่งส่วนใหญ่
กลายเป็นบ้านพักที่ยื่นเข้ามาสู่ท้องทะเล และกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างแปลกปลอม
จากแนวต้นไม้เบื้องหลัง เรือมาจอดเทียบตรงหน้าด่าน ผมแปลกใจและแปลกตา
เล็กน้อยกับภาพทรงจำที่ต่างไปจากสายตาเห็น เพียงบอกตัวเองว่าเพราะ
เป็นคนละสถานที่ ระหว่างหาดทรายแก้วและหน้าด่านอาจแตกต่างกัน

สะพานท่าซีเมนต์ขนาดใหญ่ยื่นออกรับผู้แปลกหน้า จากเรือโดยสารจำนวนสิบกว่าลำ
พ้นจากสะพานท่าเทียบ ร้าน 7ELEVEN ตั้งตระหง่านรอรับผู้เดินทางบริเวณ
คิวรถสำหรับเดินทางไปสู่หาดต่างๆ และผมเองก็เดินเข้าไปใช้บริการเสียด้วยสิ
ยาอมเพื่อนชาวประมงกับโปสการ์ดบางใบ เพราะตั้งใจเขียนหาใครต่อใครมากมาย
ขณะกลิ้งเกลือกอยู่บนเกาะนี้ พวกเราเดินไปถึงหน้าหาดทรายแก้ว ผมไม่แน่ใจว่าใช่
สถานที่เดียวกับที่ความทรงจำบันทึกไว้ ผู้คนมากมายในวันหยุด

ร้านรวงนานาประเภท ผับเร็กเก้ บาร์เบียร์ ร่มเก้าอี้ชายหาด
เผอิญพบคนรู้จักคนหนึ่งจากเชียงใหม่อีกหน
ทักกันด้วยคำพูดว่า หาที่พักได้หรือยัง เพราะน้องคนนั้นหาที่พักไม่ได้เลย
แน่นอน พวกเรามาตายเอาดาบหน้า จากปากคำของไอ้นัทที่รับรองว่าเคยมา
ช่วงปีใหม่ยังมีที่พักเลย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป...

ผมนั่งปูเสื่อเฝ้าของกับจี๊ด ขณะไอ้นัทและไอ้เบิน ตระเวนหาที่พัก
ทอดสายตามองไปบริเวณหาดทรายแก้ว แล้วรำพึงกับจี๊ดว่า
“มันต่างจากพัทยาตรงไหน(ว่ะ)”
ภาพทะเลในความฝันของชนชั้นกลาง
แตกทลายลงไปต่อหน้า หลังพวกเรามาพร้อมหน้าอีกหน ที่พักไม่ใช่
ไม่มีหรอกครับ เพียงแต่ราคาไม่เป็นที่ยอมรับเท่านั้นเอง ขนาดเต้นท์บริเวณ
หน้าอุทยานยังคิดราคา 1000/คืน (นอนได้สองคน) บ้านพักย่อมเยาจะอยู่ห่าง
ชายฝั่งพอเดินเหนื่อย ราคา 800/คืน ให้นอนห้องละสองคนเช่นกัน

หลังนั่งมองหน้ากันไปมา ตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรกับภาวะเฉพาะหน้านี้
แล้วมติเอกฉันท์ก็มาถึง การเดินทางเที่ยวนี้มันผิดพลาดเสียแล้ว
ทุกคนผิดหวัง แต่ไม่อยากและไม่ควรโยนความผิดให้ไอ้นัทสำหรับการไม่จองที่พัก
ตัดสินใจเช่าเก้าอี้ชายหาดตัวละ 30 บาท แล้ววานป้าที่ขายส้มตำบริเวณนั้น
เผากุ้งและปลาหมึกมาเสวยกัน (ราคาค่าทำ 50 บาท)
ผมเปิดเบียร์กลั้วอาหารจานดังกล่าว ให้สมอยากบรรยากาศชายทะเลแบบ
ปิกนิกวันหยุด กุ้งกิโล ปลาหมึกกิโล หายวับ ผมเห็นสายตาของแหม่มสาว
คนที่นอนอยู่ใกล้แล้ว ตลกดี เขาทึ่งกับการล้างผลาญด้วยการเบิกตาโต
จนเมื่อพวกเราปิดท้ายด้วยขนมจากที่ซื้อมาจากตลาดบ้านเพ
แหม่มสาวก็หมดความอดกลั้น เดินเข้ามาถามว่าพวกเรากินอะไรกัน
จี๊ด ผู้ช่ำชองภาษาอังกฤษตอบทันทีว่า “จาก” แหม่มยังงงไม่เข้าใจ
จี๊ดตบด้วยประโยคเด็ดว่า “this is thai snack” แต่แหม่มสาวไม่เข้าใจสำเนียง
ของเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่ม แหม่มจึงสวนกลับด้วยประโยคที่ทำเอา

ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่ว่า “really snake?” ผมต้องรีบบอกแหม่มว่า
มันทำจากมะพร้าว หากปล่อยให้ แหม่มเข้าใจผิดต่อไป
คนไทยคงน่ากลัวพิกลเอางูย่างในใบตองมากินที่ชายหาด
(ถึงตรงนี้ผมนึกศัพท์ภาษาอังกฤษที่หมายถึงเผือกไม่ออก

จึงปล่อยให้แหม่มเข้าใจว่าทำจากมะพร้าวเท่านั้น – ใครรู้วานไขสมองทีนะ)

หลังเดินเหยียบน้ำทะเลหน้าหาด ชักภาพแก้เขินพอทำเนาแล้ว
พวกเราก็เดินเท้ากลับสู่หน้าด่านที่จากมาไม่ถึงสามชั่วโมงดี
นั่งเรือออกจากเกาะเสม็ด ไอ้นัทชักภาพบนเรือไว้ใบหนึ่งที่ผมบอกไอ้เบินว่า
เหมือนพวกเราไปรบแล้วแพ้กลับมา... ไอ้เบินบอกว่าเหมือนยังไม่สุด
ยังไม่ได้เล่นน้ำเลย พวกเรามาตามหาที่พักริมหาดแม่รำพึงอีกหน
แต่ได้รับคำตอบว่า เต็มหมดทุกที่แหละน้อง แนะนำให้ไปหาในตัวเมืองดีกว่า
(นี่หน้าตาอย่างผม ยังเป็นน้องเขาได้อีกเหรอเนี่ย - ดีใจ) หลังจากอัดอั้นมาทั้งวัน
และคลื่นกระหน่ำที่หน้าหาดยั่วยวนให้พวกเราลงเล่น จอดรถแล้วทะยานสู่
กระแสน้ำที่สูงเพียงระดับเอวเท่านั้น แต่เมื่อคลื่นกระแทกเข้าหา
กลับสูงเกือบท่วมหัว และจะมาติดต่อกันครั้งละสามสี่ลูกทุกครั้ง
อย่างน้อยการลงเล่นที่หาดแม่รำพึงก็ทำให้การมาเยือนทะเลไม่เสียเที่ยวนัก
พวกเราพาตัวเปียกน้ำทะเลหมาดขึ้นรถ เข้าสู่ตัวเมืองระยองเพื่อหาที่พักต่อไป
หลังคลำทางในเมืองแปลกหน้าก็ได้ห้องพักปรับอากาศสภาพน่าอาศัยในราคา
คืนละ 450 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าการตัดสินใจเดินทางออกจากเกาะเสม็ดแล้วมาพัก
ในที่แห่งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะคืนนั้นไอ้นัทท้องเสีย เข้าห้องน้ำไม่น้อยกว่า
8-9 หน ส่วนผมไอจนต้องไปนอนใต้เครื่องปรับอากาศ และลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อไปซื้อยา
ให้ไอ้นัท ผมไปเดินตลาดกับไอ้เบินสองคน แถมด้วยอาหารเช้าในตลาดสดสอง
(ที่ระยองเรียกต้มเลือดหมูว่าข้าวเลือดหมูนะ-เกร็ดเสริม)
กลับห้องพักนอนดูละครเกาหลีเช้าวันเสาร์อาทิตย์ ช่องเจ็ด
และพับโครงการเยือนเกาะสีชัง และเกาะล้านเสียสนิท
ไอ้เบินขับรถ ผมนั่งหลับบางช่วง ส่วนไอ้นัทนั้นหมดสภาพจากอาการท้องเสีย
เข้ากรุงเทพฯ ปิดฉากการเดินทางไปเสม็ดที่แสนกร่อย แต่ถือว่าโชคดี
ที่ไอ้นัทไม่ได้นอนท้องเสียบนเกาะ ไม่งั้นคงกร่อยกว่านี้อีกมากเลย

ปล. จบล่ะ ตอนแรกผมอยากเขียนถึงวันหยุดของชนชั้นกลางที่น่าผิดหวัง
ไม่มีที่ทางให้มากพอสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่รู้อีกกี่เกาะที่จะต้องประดับไว้
ด้วยบาร์เร็กเก้ และขวดเบียร์เรียงหนาเป็นผนัง ซึ่งเรื่องเล่าอาจจะแสนเศร้ามากกว่า
อาการกร่อยที่มี เลยตัดสินใจเล่าแบบกร่อยๆ ที่นึกถึง “really snake?” ทีไรก็ยัง
ขำดีกว่า ^^

ปล. (อีกที) โลกนี้มันอื่นๆ อีกมากมายเสียจริง ขณะที่บ้านเราศาลยังไม่ตัดสินว่าจะลง
เอยเช่นไร ในอเมริกามีผู้ชุมนุมประท้วงเรื่องการอพยพเข้าประเทศ
ฝรั่งเศสกำลังจะเสนอกฎหมายเช่นเดียวกัน
แล้วเรือรบอับราฮัม ลินคอร์นมาเทียบท่าอ่าวไทยทำไมว่ะเนี่ย?

คิงจวยๆ