the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, June 22, 2006

วันนี้...

วันนี้
นอนกลางวันอีกแล้ว...
นั่งนอนอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้อง ตกบ่ายกำลังจะดูหนังการ์ตูนแผ่นที่เพื่อน
ส่งมาให้จากเชียงใหม่ (ฮูมแปร๋นนนนน เพื่อนหมีพูห์)
เปิดได้เพียงช่วงของไตเติ้ลเท่านั้น
มาตื่นอีกครั้ง เมื่อกลางเรื่องแล้ว (เฮ้อ)
จึงตัดสินใจปิดทั้งโทรทัศน์ เครื่องเล่นและเปลือกตาลง

มาตื่นอีกครั้งหลังสองชั่วโมงล่วง
เปล่าครับ ไม่ใช่หลับเต็มตา พอเพียง
แต่เป็นเสียงโทรศัพท์กรีดดังจากมุมหนึ่งของห้อง
บนหน้าจอปรากฏชื่อของคนโทรมา พี่ชาย ผมเอง

"สวัสดีครับ"
"เออ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ไม่ได้คุยกันนานเลย"
"สบายดีพี่" ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า
"พอดีโทรไปคุยกับพ่อมา ถามว่ายีนไม่ค่อยได้โทรกลับบ้าน
ก็เลยโทรมาคุยด้วยหน่อยน่ะ
"
"ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อเลยครับ แต่หลังๆ แม่โทรมาหาบ่อยน่ะพี่"
"มีเงินใช้ไหม"พี่ถามอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่เพียงตามมารยาท
"มีครับพี่ เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะมีอีกก้อนจากที่ทำงานมาใช้ด้วยครับ"
"อืม ช่วงนี้พี่ก็ไม่ได้พักเลย เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปเรียน"
"ครับพี่ แล้วแป้งเป็นไงบ้างพี่ อ้อแอ้หรือยังครับ"
"เออ มันก็แจ๊บๆ อ้อแอ้ เป่าปากปรือๆ ตามประสาของมัน"
"ฮ่าๆๆ"
ผมหัวเราะเมื่อนึกภาพหลานสาวทำอย่างนั้นออก
"เออ ไว้มีอะไรก็โทรมาคุยเล่นบ้างนะ หรือถ้าว่างๆ ก็แวะมาหาบ้าง"
"ครับ"
ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก แถมด้วยรอยยิ้มแหยๆ
หลังสายโทรศัพท์ที่พี่ไม่ได้เห็น
"เออ แค่นี้แหละ ไว้คุยกัน"
"ครับพี่ สวัสดีครับ"


ผมเกือบลืมไปแล้วว่าพี่มีภาระเรื่องการเรียนเพิ่มเข้ามาด้วยในระยะหลัง
พี่มีปัญหาชีวิตของพี่ ที่ทำเอาผมรู้สึกว่าเป็นคนนอก
เพราะพี่เลือกจะแบกรับมันอยู่คนเดียว
พี่ไม่บอกใครในบ้านเลยจนเมื่อหลานสาวของผมกำเนิดมา
ผมจึงมีส่วนได้แบกรับส่วนเสี้ยวของความรู้สึกอึดอัดในชีวิตของพี่บ้าง

ผมยังไม่ปรารถนาจะเขียนถึงปัญหาของพี่ชายที่ผมรู้สึกว่า คือ Hero เสมอมา
ลงในพื้นที่สาธารณะเช่นนี้ มีเรื่องอีกมากที่ผมต้องเรียนรู้จากพี่
แต่สักวันหนึ่ง ผมอาจเข้าใจอะไรได้มากขึ้น

ผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนอะไร เพื่อบอกถึงอะไรในวันนี้
เพียงระลึกถึงเรื่องราวในวันวาน

(คนที่เคยอ่านบล็อกของผมอาจรู้แล้วว่า
ส่วนใหญ่เรื่องราวในบล็อกนี้
คือเรืองเล่าจากความทรงจำที่หวนกลับมา
อาจเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อที่ผมมักนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
ทั้งที่ใช้ลมหายใจของวันนี้อยู่)

ผมนึกถึงหนังไทยเรื่องหนึ่งในวัยเด็กที่ทำเอาผมยังจำเพลงประกอบได้มาจนทุกวันนี้
หนังที่เล่าเรื่องของวัยรุ่นในยุคสมัยหนึ่ง สเก็ต เบรกแด๊นซ์ และ"สยามสแควร์"
วันนี้ ผมเข้ามานั่งเพลงเก่าของแมคอินทอช
จำได้ว่าผมเคยนำเพลงนี้ไปร้องและเขียนส่งครูในชั้น
เมื่อสมัยยังเรียนอยู่ชั้นประถมเท่านั้น

ผมไม่รู้จะเล่าเรื่องความคิดถึงที่มีต่อพี่ชายคนเดียวอย่างไร
เพียงแต่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กนั้น เราเคยนั่งฟังนิทานจากพ่อ เคยแย่งกันกินตาปลาทู
ข้าวคลุกน้ำปลากับกากหมูใต้บันไดที่ตอนนี้รื้อไปแล้ว
และครั้งหนึ่ง เราเคยนั่งดูหนังไทยกับฟังเพลงนี้ด้วยกัน

รักกันมากๆ นะพี่ พี่เหมียวและไอ้แป้ง ^^

ป.ล. ฟังเพลงที่ว่านั้นได้ ที่นี่ ครับ เพลงแม่น้ำนี้ชื่อนิจนิรันดร์
ที่จริงผมชอบอีกเพลงมากกว่า ที่ร้องว่า
"นกนางนวลนอนนิ่ง
เกาะกิ่งมะนาวนอนหนาว เจ้านกนางนวลนอนหนาว
เกาะกิ่งมะนาวนอนนิ่ง เจ้านกนางนวลนอนนิ่ง....
.....จึงตกจากกิ่งมะนาว! "

^^ ฮ่าๆๆ^^



Sunday, June 18, 2006

HELP

Help I need somebody, Help!
Not just anybody, help!
You know I need someone, help!

When I was younger, so much younger then today
I never need any body's help in any way
But now these days are gone, I'm not so self assured

Now I find I've changed my mind
I've opened up the doors

Help me if you can, I'm feeling down
And I do appreciate you being 'round
Help me get my feet back on the ground
Won't you please, please help me?

And now my life has changed in, oh so many ways
My independence seems to vanish in the haze
But ev'ry now and then I feel so insecure
I know that I just need you like
I've never done before



Song by The Beatles

....

แม่เทพธิดา! ฉันได้แต่เพียงมองเธอเท่านั้น มันทรมาน
เหลือเกิน มันเป็นความยินดีของฉันด้วย เออหนอ ฉัน
รักเธอมากเพียงใดในชั่วโมงนั้น! ฉันกลับมีอายุสิบแปดปี
อีกครั้ง

ในฉับพลัน ทุกสิ่งก็กระจ่าง หญิงสาวแสนสวย
ผมสีทองสุกปลั่ง สดใสแสนชื่น! ฉันจำไม่ได้แม้แต่ชื่อเธอ
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ฉันหลงรักเธอ และในวันนี้ บนถนน
ที่แดดส่องแห่งเมืองภูเขา ฉันได้รักเธออีกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
ใครอื่นจะรักเธอมาก่อนก็ช่างเถิด เขาไม่เคยรักเธอยิ่งกว่าที่ฉันรัก
ไม่เคยมีชายใดให้พลังที่เขาควบคุมตัวเองแก่เธอยิ่งไปกว่าฉัน
พลังอันไร้เงื่อนไข แต่ฉันถูกสาปไม่ให้จริงจังเสียแล้ว
ฉันเป็นของสรรพสำเนียงแห่งสายลม
ซึ่งมิได้หลงรักหญิงสาว หากหลงรักเพียงแต่ความรักเท่านั้น

คนพเนจรเป็นเช่นนี้ทุกคน ส่วนใหญ่ของการร่อนเร่
ไร้ที่พำนักคือความรัก คือตัณหา เป็นความหลงใหลที่จะ
เดินทางร่อนเร่ อย่างน้อย สักครึ่งหนึ่งมีแต่ความกระตือรือร้น
อีกอย่างหนึ่ง- - -ความปรารถนาที่ไม่รู้ตัว ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ที่จะขจัดตัณหา

เราคนพเนจรมักจะฉลาดแกมโกง- - -เราสร้างความ
รู้สึกอันมิอาจเติมจนเต็มให้เกิดขึ้น และความรัก ซึ่งแท้จริง
ควรจะเป็นของหญิงสาว เราก็กลับเที่ยวหว่านโปรยไปทั่ว
เมืองเล็กและภูเขา, ทะเลสาบและหุบผา, เด็กๆ ริมถนน,
ขอทานบนสะพาน, ฝูงวัวในทุ่งหญ้า, นกและผีเสื้อ

เราแบ่งแยกความรักออกจากวัตถุ ความรักเท่านั้น
พอแล้วสำหรับเรา ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราพเนจรไปไหน
เราไม่มองหาจุดหมาย เรามองหาเพียงความสุขของการพเนจร
เพียงได้เร่ร่อนไปเท่านั้น
....


จาก ร่อนเร่พเนจร (Wandering)
เฮอร์มันน์ เฮสเสะ : ประพันธ์
สาลินี คำฉันท์ : แปลเป็นภาษาไทย


เช้านี้, ตื่นมาวุ่นวายอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์
รอเวลาเพื่อนรุ่นพี่ที่มาพักอยู่ด้วยกัน ตื่นนอน
อยากให้เขาไปหาหมอ เพราะเมื่อคืนอาการเจ็บป่วยจากการปวดฟัน
ลุกลามทำร้ายวิถีปกติของชีวิตไปเยอะ...
แต่กว่าจะได้ฤกษ์ยาม เวลาก็ผ่านจนบ่ายโมง
ไม่ทันได้ไปไหน ฝนก็เทลงมาเหมือนไม่ปรารถนาลอยคว้าง
บนท้องฟ้าอีกต่อไป ฟ้าครึ้มมืด
วิทยุเครื่องเก่ากรีดเสียงสู้สายฝน ด้วยเพลงในยุค70-80
แล้วเสียงเพลง HELP ก็ดังขึ้น
ห้องแคบกลายเป็นเวทีกว้างของอดีต


ฝนหยุดแล้ว, แต่...
ทุกอย่างก็ยังไม่เริ่มขึ้น
มีเพลงลมหายใจเท่านั้นที่ยังเวียนไหลสม่ำเสมอ
เมื่อวานเป็นเช่นนั้น วันนี้ยังเช่นนั้น
ก็เท่านั้นเอง...


ป.ล. ฟังเพลง ที่นี่ นะ

Friday, June 16, 2006

บ้านไร่

นี่คือบ้านที่ฉันกล่าวลา เป็นเวลาอีกเนิ่นนานต่อมาที่ฉันไม่ได้เห็นบ้านเหมือนเช่นนี้อีก เรื่องก็คือ ฉันกำลังมาถึงพรมแดนในภูเขาแอลป์สฺ ณ ที่นี้ คือที่สิ้นสุดของภาคเหนือ, สถาปัตยกรรมแบบเยอรมัน, ชนบทเยอรมัน และภาษาเยอรมัน

ช่างงดงามเหลือเกินที่ได้มาข้ามพรมแดนนี้ ชายพเนจรกลายเป็นคนสมัยโบราณไปได้ในหลายทาง เช่นเดียวกับพวกร่อนเร่เป็นคนโบราณกว่าชาวไร่ ฉันรู้สึกเหมือนคนอื่นๆ ว่า ความปรารถนาที่จะได้ไปถึงอีกด้านหนึ่ง ที่ซึ่งทุกสิ่งพรักพร้อมอยู่แล้ว เป็นสัญลักษณ์แห่งหนทางสู่อนาคต

ถ้าคนอื่นๆ จำนวนมากเกลียดชังพรมแดนระหว่างประเทศเท่าที่ฉันรู้สึก ก็คงไม่มีสงครามและการกั้นขวางอีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดในโลกอีกแล้วที่น่าขยะแขยงและน่าชังเท่าพรมแดน อาจเปรียบเสมือนปืนใหญ่ หรือพวกนายพล ซึ่งตราบใดยังมีสันติ ความรัก และความเมตตา ตราบนั้นก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ- - -แต่ทันใดที่เกิดสงครามและความบ้าคลั่ง พวกนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งเร่งด่วนและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสงครามเกิดขึ้น คนเพเนจรอย่างเราจะเจ็บปวดและถูกจองจำ ขอให้ภูติผีมาเอาพวกนั้นไปเสียเถิด!


ฉันกำลังวาดรูปในบ้านในสมุดบันทึก ดวงตาของฉันละทิ้งทุกสิ่งที่คุ้นเคยไปอย่างแสนเศร้า หลังคาแบบเยอรมัน, โครงสร้างของบ้านแบบเยอรมัน, กระเบื้องมุงหลังคา, ทุกอย่างที่ฉันรัก

อีกครั้งหนึ่งที่ฉันรักทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้าน เพราะฉันจะต้องจากมันไป พรุ่งนี้ฉันจะรักหลังคาอื่นๆ กระท่อมหลังอื่นๆ ฉันจะไม่ละทิ้งหัวใจไว้เบื้องหลัง อย่างที่เขาเขียนกันในจดหมายรัก เปล่าหรอก ฉันจะเอาหัวใจติดตัวไปด้วย เมื่อเดินเหนือทิวเขา เพราะฉันปรารถนาหัวใจตลอดเวลา

ฉันเป็นคนพเนจร ไม่ใช่ชาวไร่ ฉันเป็นผู้ชื่นชมความไม่ซื่อ, ความเปลี่ยนแปลง, ความวิจิตรพิสดาร ฉันไม่แยแสที่จะยึดมั่นในความรักต่อผืนดินอันว่างเปล่าที่ใดที่หนึ่งบนพิภพนี้ ฉันเชื่อว่า สิ่งที่เรารักเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ความรักของเราเกิดความผูกพันกับสิ่งหนึ่ง, ความเชื่อหนึ่ง, คุณธรรมหนึ่ง ฉันจะรู้สึกเคลือบแคลง

ขอให้ชาวไร่จงโชคดี! ขอให้ชายผู้เป็นเจ้าของสถานที่นี้จงโชคดี, ทั้งคนที่ทำงานในไร่, คนซื่อสัตย์, ผู้มีคุณธรรม! ฉันสามารถรัก, เคารพ, ริษยาเขา แต่ฉันเสียเวลาไปครึ่งชีวิตแล้วที่จะอยู่อย่างเขา ฉันต้องการเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็น ฉันถึงกับอยากเป็นกวีและเป็นคนชั้นกลางในขณะเดียวกัน ฉันอยากเป็นจิตรกรและคนช่างฝัน แต่ฉันก็อยากเป็นคนดี, คนที่อยู่กับบ้านด้วย

ฉันคิดไปยืดยาว จนได้รู้ว่า คนเราไม่อาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง ไม่อาจมีได้ทั้งสองอย่าง ฉันเป็นคนพเนจร ไม่ใช่ชาวไร่ ฉันเป็นผู้แสวงหา มิใช่ผู้เก็บรักษา เป็นเวลาช้านานที่ฉันแช่งด่าตัวเองต่อพระผู้เป็นเจ้า และบทบัญญัติซึ่งเป็นเพียงรูปสักการะบูชาสำหรับฉันเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่ฉันทำผิด, ความรวดร้าวของฉัน, ความยุ่งยากในโลกอันเจ็บปวด ฉันเพิ่มความผิดและความเจ็บปวดของโลกนี้ขึ้นอีก โดยทำร้ายตนเอง โดยไม่กล้าเดินไปหาเครื่องช่วยให้ตัวพ้นภัย หนทางช่วยให้พ้นภัยมิได้ไปทางซ้ายหรือทางขวา- - -มันนำไปสู่ดวงใจของเธอเอง ณ ที่นั้นเท่านั้น คือพระเจ้า และสันติสุข

ลมชื้นของภูเขาโชยผ่านฉันไป เบื้องหน้าคือเกาะสีน้ำเงินแห่งสวรรค์ กำลังจ้องมองลงมายังประเทศอื่นๆ ภายใต้สวรรค์เหล่านี้ที่ฉันจะมีความสุขเป็นบางครั้ง และบางคราวฉันจะคิดถึงบ้าน ฉันเป็นคนเต็มคน เป็นนักพเนจรที่แท้จริง จึงไม่ต้องคิดถึงบ้าน แต่ฉันรู้ ฉันไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ไม่พยายามแม้แต่จะให้สมบูรณ์แบบ ฉันต้องการชิมรสชาติของความคิดถึงบ้าน เช่นเดียวกับลองลิ้มรสความสนุกสนาน

ฉันกำลังป่ายปีนเข้าไปในสายลม หอมกลิ่นสถานที่และระยะทางไกลออกไป, เพิงเก็บน้ำและภาษาต่างด้าว, แนวภูเขาและสถานที่ภาคใต้ ช่างเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความหวัง

ลาก่อน บ้านไร่เล็กๆ และบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ฉันขอลาจากไปดังเช่นชายหนุ่มลาจากแม่ของเขา เขารู้ว่าถึงเวลาจะต้องลาไปแล้ว และเขารู้ด้วยว่า เขาไม่มีวันละทิ้งแม่ไปได้โดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะปรารถนาก็ตาม.


จากบทหนึ่งใน ร่อนเร่พเนจร (Wandering)
เฮอร์มันน์ เฮสเสะ : ประพันธ์
สาลินี คำฉันท์ : แปลเป็นภาษาไทย


สมัยยังเด็ก ผมชอบไปเล่นพิมพ์ดีดในที่ทำงานของพ่อ
คำที่พิมพ์ง่ายคำหนึ่ง คือ สงคราม
เพราะเมื่อพิมพ์นิ้วจะไต่ไล่ลงเรื่อยๆ นั่นคือ ส่วนหนึ่งที่ย้ำเตือนผมเสมอว่า
สงครามมีแต่นำไปสู่หนทางที่ต่ำลง

คนพเนจรมากมายระทมทุกข์กับความบาดหมางของพรมแดนที่ไม่มีอยู่จริง

ในประเทศไทยเอง เกิดพรมแดน และแผนที่
เมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สี่นี่เอง
เพราะอังกฤษต้องการทำแผนที่แยกดินแดนให้ชัดเจน
รัฐชาติไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสำนึกเมื่อเราลืมตามาบนโลก
เราต่างถูกเสี้ยมสอนให้เข้าใจว่าเราเป็นคนของรัฐใดรัฐหนึ่ง
ในสมัยยังไม่มีใครสนใจว่า
พรมแดนของประเทศมีอยู่ถึงตรงที่ใดนั้น
ต้องไปถามคนที่ใช้ชีวิตในบริเวณนั้นเอาเอง...

สงคราม เอยสงคราม
มนุษย์เราฆ่ากันด้วยเรื่องใดได้บ้างนะ ?
ใครสักคนภายในตะโกนออกมา
"จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรอกหรือ?"
ใครสักคนภายใน คอตก และหม่นเศร้า

คนพเนจรยังต้องกลัดความทุกข์ระทมต่อไป...


*ถ้อยคำและประโยคที่เน้นตัวหนาเป็นการกระทำด้วยความนิยมของผมเอง
ไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับแต่อย่างใด

ยามเย็น

คู่รักเดินไปในยามเย็น
ผ่านท้องทุ่งไปช้าๆ
เหล่าหญิงสาวปล่อยผมสลวย
นักธุรกิจนับเงิน
ชาวเมืองอ่านข่าวล่าสุดอย่างจดจ่อ
ในหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย
ทารกกำมือน้อยๆ แน่น
หลับสนิทในความมืด
แต่ละคนต่างมีความจริงแท้ของตัวเอง
ติดตามหน้าที่อันทรงเกียรติ
ชาวเมือง, ทารก, คู่รัก- - -
และมิใช่ฉันหรือ

ใช่สิ, ฉันก็มีงานในยามเย็น
ซึ่งฉันเป็นทาสของมัน
งานจะไม่สำเร็จหากไร้วิญญาณแห่งวัย
มันมีความหมายด้วย
และฉันเดินขึ้นเดินลง
เริงระบำอยู่ในใจ
ร้องเพลงโง่ๆ ริมถนน
สรรเสริญพระเจ้าและตัวเอง
ดื่มเหล้าองุ่นและเสแสร้ง
ว่าฉันเป็นขุนนาง
วิตกด้วยเรื่องใด
แย้มยิ้ม, ดื่มอีก,
ตอบรับหัวใจตัวเอง
(ในตอนเช้า, เรื่องนี้จะไม่สำเร็จ)
แต่งบทกวีขึ้นเล่นๆ
เป็นเรื่องแห่งความทุกข์ที่ผ่านเลย
จ้องดูดวงดาวและดวงจันทร์อันวนเวียน
เดาหาทิศทางดวงดารา
นึกว่าตนก็คือดาวดวงหนึ่ง
กำลังเดินทาง
ไปไหนก็ตามที.

จาก ร่อนเร่พเนจร (Wandering)
เฮอร์มันน์ เฮสเสะ : ประพันธ์
สาลินี คำฉันท์ : แปลเป็นภาษาไทย
หลายคืนมาแล้ว
ที่หนังสือเล่มนี้กลับมาเป็นหนังสือหัวนอนอีกครั้ง...

Tuesday, June 13, 2006

สิบยกกำลังสิบยกกำลังสามสิบสาม

เช้านี้ ผมกล่าวอรุณสวัสดิ์กับชีวิตด้วยคำถาม
ผมหล่นร่วงมาขนาดไหนของระยะจากสะพานถึงห้วงน้ำแล้วนะ...

นักวิทยาศาสตร์สักคน
อาจเป็นกาลิเลโอหรือใครสักคนบนหอเอนปิซ่า
บอกว่าไม่ว่าก้อนหินหรือนุ่นที่มีมวลเท่ากันจะตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วเท่ากัน
ในบรรดามวลความรู้สึกอะไรบ้างนะ
จะตกสู่ห้วงน้ำเท่าทันผม

น้ำกระจายวง...
ผิวน้ำจะแตกตัวขึ้น
ออกเป็นมงกุฎหกเหลี่ยมหรือเปล่านะ
เสียงโหยหวนจะกำจายออกเหนือแรงกระแทกผิวน้ำไหม?

ไม่รู้...

นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่าจักรวาลมีอายุประมาณ สิบยกกำลังสิบ
คือ เลข 1 ที่มี 0 ตามหลัง 10 ตัว ใช้เนื้อที่ในการพิมพ์ 1/4 บรรทัด

สำหรับแก้วเบียร์หนึ่งแก้วจะต้องใช้เวลานานถึง
สิบยกกำลังสิบยกกำลังสามสิบสามปี
ที่จะทำให้แก้วเบียร์จะล้มลงไปเองโดยไม่มีใครแตะต้อง
และด้วยเลขเดียวกันหากต้องการเขียนให้เต็มรูปแบบ
จะต้องใช้กระดาษที่มีปริมาตรเท่าโลกจึงเขียนหมด

ตามหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน
สัตว์ยักษ์จำพวกไดโนเสาร์ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการพบกัน
คือ ไชสโมซอรัส (Seismosaurus) ซึ่งหมายถึง ผู้เขย่าแผ่นดิน
มีความยาว 100-120 ฟุต (33-40 เมตร) คาดว่ามีน้ำหนัก 89 ตัน

นักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง โวลแตร์
เคยเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ยักษ์จากต่างดาวเดินทางมายังโลกมนุษย์
ชื่อเรื่อง Micromegas ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2293
(หลังนิยายกัลลิเวอร์ผจญภัย 24 ปี)

ใครบอกว่าพระอาทิตย์ไม่สามารถขึ้นทางทิศตะวันตก
เมื่อคุณอยู่บนดาวศุกร์ที่หมุนรอบตัวเองในทิศทางสวนกับทิศทางโคจรรอบดวงอาทิตย์
ผลที่ปรากฏคือ มนุษย์บนดาวศุกร์จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
แล้วเห็นดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันออก! *

ไม่รู้...

คำถามใดไร้คำตอบบ้าง - มีเต็มไปหมด
แต่ควรต้องตอบทุกคำถามไหมนะ
หากชีวิตคือการการใช้เวลาในห้องสอบ
ผมยังเฝ้าเวียนหา เดินทาง เพื่อเติมทุกอย่างในกระดาษตรงหน้า
หวังว่าจะได้ทำมันอย่างเต็มที่เท่าที่เวลายังมีมากพอ

คำตอบทางวิทยาศาสตร์บางข้อจะคงอยู่
จนกว่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่าเดินทางมาถึง
เรื่องราวใดได้รับการยืนยันว่า ถูกต้องนิรันดร์
คำตอบใดชัดเจนบ้าง...

ฟังเสียงแห่งบรรณพิภพกล่าว
เธอออกเดินทางหาฟาติมาของชีวิต
เพื่อรู้จักเรื่องเล่าถึงขุมทรัพย์ใต้โคนไม้ที่เธอเคยพำนัก

แล้วก็ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้กับชีวิต
บางทีน้ำตา หรือเสียงหัวเราะของผม
อาจเดินทางไปถึงห้วงน้ำเบื้องล่างก่อน
ก็เป็นได้.


- - - - - - - - - - - - - -

*ความรู้ทางวิทยาศาตร์ที่อ้างอิงนำมาจาก
งานเขียนของดร.ชัยวัฒน์ คุปตะกุล และจากหนังสือของคุณวิลาศ มณีวัต

คุยกับแวร์เธ่อร์ - อีกครั้ง


30 ตุลาคม

อาจนับได้ถึงร้อยครั้งกระมังที่ข้าเกือบสวมกอดนาง พระเป็นเจ้า
ทรงทราบดีว่า คนเรารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสิ่งน่ารักมากเช่นนี้มาเคลื่อนไหว
อยู่เบื้องหน้าแต่ทว่าห้ามแตะต้อง การใช้มือแตะต้องเป็นสัญชาตญาณ
ของมนุษย์ เด็กๆ ไม่ได้แตะต้องทุกสิ่งที่เห็นดอกหรือ -แล้วตัวข้าเล่า

3 พฤศจิกายน

พระเป็นเจ้าทรงรู้ดี บ่อยครั้งขณะล้มตัวลงนอน ข้าปรารถนาและบางครั้งคาดหวังว่าจะไต่ขึ้นมาอีก ครั้งถึงรุ่งสาง เมื่อลืมตาตื่นและเห็นดวงตะวัน ข้าก็รู้สึกเศร้าใจ ข้าอยากเป็นคนที่มีอารมณ์ขุ่นมัว จะได้โยนความความผิดให้อากาศบ้าง คนอื่นบ้าง หรืออ้างว่าเพราะทำงานบางอย่างล้มเหลว ทุกข์ที่เกิดจากความขุ่นเคืองจะได้น้อยลงสักครึ่งหนึ่ง แต่นิจจา ข้ารู้สึกว่าความผิดทั้งปวงอยู่ที่ข้าเพียงผู้เดียว - ไม่ใช่ความผิดดอก - แต่มันก็ร้ายเพียงพอแล้วที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ มันซ่อนอยู่ในตัวข้า เหมือนดังที่ความสุขทั้งปวงเคยอยู่มาก่อน ข้ามิใช่คนเดิมซึ่งเคยเปี่ยมด้วยความสุขไม่ว่าย่างก้าวไปทางใด สวรรค์ก็ตามไปที่นั่น และมิใช่คนเดิมผู้ซึ่งมีหัวใจ ที่พร้อมจะโอบกอดโลกไว้อย่างรักใคร่ละหรือ บัดนี้หัวใจดวงนี้ตายแล้วไม่มีความสนุกสนานจากใจอีกต่อไป นัยน์ตาของข้าแห้งผาก และความรู้สึกมิได้ถูกชโลมให้สดชื่นด้วยน้ำตาอีกต่อไป แต่กลับฝังรอยกังวลบนหน้าผากของข้าแทน ข้าทรมานใจเหลือเกิน เพราะข้าได้สูญเสียสิ่งที่เป็นความสุขสิ่งเดียวในชีวิตไป สิ่งซึ่งเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์และให้ชีวิตชีวา ซึ่งข้าใช้สร้างโลกรอบๆ ตัวข้า มาบัดนี้ได้สลายไปสิ้น - ยามเมื่อข้ามองไปนอกหน้าต่างและแลเห็นเนินเขาไกลลิบ ขณะลำแสงสุริยันยามรุ่งอรุณกำลังส่องทะลุหมอกเหนือขุนเขาลงมาทำให้ทุ่งหญ้าที่เงียบสงบสว่างไสว อีกทั้งลำรน้ำไหลอ่อนโยนเลี้ยวลดผ่านต้นหลิวไร้กิ่งใบมายังตัวข้า -โอ้ เมื่อธรรมชาติอันแสนวิเศษปรากฏนิ่งดุจดังรูปภาพเคลือบเงาอยู่เบื้องหน้าข้า และเมื่อความปีติสุขทั้งปวงไม่สามารถสูบฉีดความสุขแม้เพียงสักหนึ่งหยดจากหัวใจไปสู่ผากหรือเหยือกน้ำแตกรั่ว ข้าล้มตัวลงนอนบนพื้นปฐพีบ่อยครั้งและสวดอ้อนวอน ขอน้ำตาจากพระเป็นเจ้า เหมือนดังชาวนาวอนขอฝนยามเมื่อฟ้าสวรรค์อยู่เหนือศีรษะและพื้นดินรอบตัวแห้งผาก
แต่นิจจา ข้ารู้ดีว่า พระเจ้ามิได้ทรงประทานฝนและแสงตะวัน เพราะการร้องขออย่างรบเร้าของพวกเราดอก ทำไมความทรงจำในอดีตจึงทรมานจิตใจของข้า และทำไมความทรงจำนั้นจึงมีแต่ความสุข ทั้งนี้เป็นเพราะข้าเฝ้ารอคอยพรจากพระจิตของพระองค์ด้วยความอดทน และได้รับความสุขซึ่งพระองค์ทรงประทานให้ด้วยซาบซึ้งในพระคุณอย่างล้นเหลือ.

8 พฤศจิกายน

นางตำหนิพฤติกรรมเกินงามของข้า แต่ทว่า แม่นางช่างตำหนิได้น่ารักยิ่งนัก
พฤติกรรมที่ข้ามักปล่อยให้ตนเองดื่มเหล้าองุ่นเพิ่มจากหนึ่งแก้วไปเป็นหนึ่งขวดในบางครั้ง
"ท่านอย่าทำเช่นนั้นเลย" ล็อทเทกล่าว "โปรดนึกถึงล็อทเท"
"นึกถึงหรือ" ข้าถาม "แม่นางต้องบอกข้าเรื่องนี้ด้วยหรือ นึกถึงแม่นาง - ไม่ได้นึกถึงแม่นางดอก หากแต่แม่นางอยู่กลางใจข้าตลอดเวลา วันนี้ข้านั่งลงตรงที่แม่นางก้าวเท้าลงจากรถม้าเมื่อสอง - สามวันก่อน - " นางเฉไฉพูดเรื่องอื่นเพื่อมิให้ข้าพูดมากไปกว่านี้ สหายรัก ข้ายอมทุกอย่าง นางจะทำสิ่งใดกับข้าก็ได้ตามที่นางต้องการ.


คัดลอกจากบางส่วนของหนังสือ
"แวร์เธ่อร์ระทม"
Die Leiden des jungen Werther
โยฮันน์ โวลฟ์กัง ฟอน เกอเธ่ : ประพันธ์
ถนอมนวล โอเจริญ : แปล



เมื่อสามปีก่อน ผมเดินทางลงใต้โดยลำพัง หวังเรียนรู้จักภายในตัวเองมากขึ้น
ความเปลี่ยวเหงาขับเคี่ยวใจ ผู้คนแปลกหน้า อัธยาศัยงดงามมากมีพานพบ
แกงปลาโอในกระท่อมวอมแสงตะเกียงของบังแม๊ะกับยายอีหมุนบนเกาะลันตา
ทำเอาน้ำตาซึมคิดถึงบ้าน...
ในห้วงวันคืนเหล่านั้น หนังสือแสนโศกซึ้ง
และชักชวนจิตตกเล่มนี้ติดในกระเป๋าเดินทางไปด้วย


เช้านี้ เมื่อผมหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
แว่ร์เธ่อร์ไม่ได้สนทนาเพียงเรื่องความรู้สึกต่อล็อทเทเท่านั้น
คืนประดับเสียงวิวาทผัวเมีย เสียงคนเมา คาราโอเกะ ในตลาดร้างโคกลอย
ก็เดินทางมาเยือน แสงเทียนนวลเพื่ออ่านหนังสือในเต้นท์ ผมเฝ้าเขียนจดหมาย
เขียนบันทึกในคืนว้างนั้น - ภาพผมออกไปเดินย่ำทรายไร้ผู้คน ใต้แสงจันทร์
เบียร์ที่พี่หนุ่ม พี่โจ๊ก พี่โจเชิญชวนบนหาดบางเบน
บทเพลงของมาลีฮวนน่าดังขึ้นในใจและขณะเขียนวันนี้


ผมจะเดินทางอีก - ผมบอกตัวเองในทุกโมงยาม
และผมก็ยังเดินทางในทุกโมงยาม อาจเพียงห้วงภายใน

ผมยังไม่พบทางออกสู่คืนว้างจันทร์กระจ่าง
เพียงเท่านั้นเอง.

Tuesday, June 06, 2006

สนุกดี ชอบ^^









พอก่อนนะไม่ไหวแล้ว โหลดรูปยากเชียว
อยากบอกเพียงแค่ว่าสนุกดี เราฟังแจ๊สไม่ละมุนหูหรอก
แต่เราชอบบรรยากาศการเดินทาง ชอบการพบเพื่อน
ชอบการเดินไปในมุมน่าค้นหามากมาย ณ ที่นั้น
ไปนอนละน้า ทำงานแต่เช้าพรุ่งนี้

ขอให้มีแรงทำเรื่องอีกมากต่อไปนะ^^

ป.ล. ภาพถ่ายฝีมือ พี่เขียนคนดีนะ ต้องขอบคุณพี่เขียนด้วยครับ

Friday, June 02, 2006

เรื่องมันมีว่า...

"เฮ้ย! ไปเที่ยวป่ะว่ะ"
"เออ! เอาสิ"

ผมพยักหน้ารับ ทันที
(แต่เพื่อนไม่เห็น เพราะมันโทรมา)

ด้วยเหตุฉะนี้แล
ไปเที่ยวกันป่ะ?

^^

ความตาย...

ผมเชื่อโดยไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ยืนยันว่า
เมื่อผ่านการใช้ชีวิตมาระยะหนึ่ง
ทุกคนเคยระลึกและคิดถึงความตาย

แต่คำถาม คือ เราเริ่มรู้จักกับความตายครั้งแรก
ตอนอายุเท่าไหร่ และในเหตุการณ์ใด?

ผมนึกย้อนไปครั้งแรกที่นึกถึงความตาย
ผมอายุสักประมาณหกขวบได้
เปล่าครับ..ไม่ได้มีคนในครอบครัวจากไป
ไม่ได้พบประสบการณ์สะเทือนใจจากการสูญเสีย
แต่เป็นเรื่องที่ทำให้ผมกลัวความตายในวัยนั้น

แม่รับปริญญาปีนั้น...
ผมติดเข้ามาเมืองหลวงด้วย
มาอาศัยอยู่ในบ้านของญาติที่ผมไม่คุ้นเคย
วันนั้น ผมอยู่บ้านคนเดียว
(เข้าใจว่าเป็นความทรงจำที่ผิดพลาด)
หรืออย่างน้อยผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียว
ในบ้านแปลกหน้า...

นั่งดูหนังเรื่อง “ผีหัวขาด”
(น่าจะเป็น สรพงศ์ ชาตรี นำแสดง)
ก็กลัวตามประสาเด็กกลัวผี กลัวความมืด
กลัวลักษณะไม่น่าชมของบรรดาผีๆ
แต่...
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เชื่อมความคิดได้ว่า
ผีมาจากคนที่ตายไป คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
หมายถึง พ่อและแม่ด้วย หรอกหรือ?
ผมจำได้ว่า วิ่งเข้าไปนั่งอยู่ในห้องน้ำ มองรอบๆ ตัว
รอบๆ ห้องน้ำ คิดเรื่องมากมาย
ผมไม่ได้กลัวผีที่สรพงศ์นำแสดงอีกแล้ว
แต่ผมกลัวคนรอบตัวต้องกลายเป็นผี...
เป็นคนตาย และเราอาจไม่ได้อยู่ร่วมกัน
มีวันที่พ่อและแม่จะไม่ได้อยู่กับผม

สุดท้าย จำไม่ได้ว่าวันนั้นร้องไห้ฟูมฟายหรือไม่ ?
รู้เพียงความกลัวแล่นเข้าจับดวงใจ
ความกลัวที่เย็นเยียบ ความกลัวที่เงียบงัน

แต่, ไม่หรอกครับ
มันไม่ได้ตามหลอกหลอนวัยเยาว์ของผม
อาจเพียงหลังจากไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น
ผมก็หลงลืมว่า ผมหวาดกลัวความตาย
แต่ไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย

นานครับ... กว่าผมจะเรียนรู้ว่า
สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป
เคยร้องไห้เพราะของเล่นแตกหัก สูญหายไหมครับ
อาจเพราะเราไม่คิดว่า มันจะต้องเป็นเช่นนั้น

ผมร้องไห้ฟูมฟายก่อนที่ย่าจะสิ้นลม
ร้องไห้ในห้องที่ทุกคนต่างร้องไห้
ย่าจากไปช่วงประมาณตีสาม
โดยขณะที่ย่าจากไปผมกลับไม่ได้ร้องไห้เลย

ผมร้องไห้ เมื่อรู้ว่า
เพื่อนที่เพิ่งแยกกันเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้า
บวกรถเข้ากับต้นงิ้วข้างถนน
ผมไม่ได้เห็นลมหายใจสุดท้าย
แต่ผมร้องไห้...
พ่อเขียนบันทึกถึงสภาพแย่ๆ ในวันนั้นของผม

เมื่อผ่านเวลาไป ผมเรียนรู้มากขึ้นว่า
ทุกอย่างต้องแตกหัก สูญหาย เป็นไป
ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถเท่าทัน
เพียงแต่เรียนรู้ว่า มันจะเกิดขึ้นได้
พ่อว่า มันธรรมดาโลก คำพระท่านว่า อนิจจัง
กระนั้นผมก็คิดว่า ผมยังคงร้องไห้...

เมื่อผ่านความเจ็บปวดของชีวิตบ่อยครั้ง
ความตายก็ไม่ใช่เรื่องของการสูญเสียเท่านั้น
การเกิด การตายไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรอกหรือ?
การมีอยู่กับการจากไป ต่างกันตรงไหน?
ต้นไม้ที่งอกงามในวันนี้
คือดอก ใบ ที่ร่วงหล่นของวันก่อน
คือ ต้นไม้ คือ ชีวิตที่จากไปและกลับมา
ดอกไม้ที่บานในวันนี้มีถ้อยคำจากเมื่อวาน
รอยยิ้มของเด็ก คือริ้วรอยของความชรามาก่อน

อาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง เคยเปรียบเทียบ
ชีวิต ความตาย เหมือนเวลาในการสอบ
ทุกขณะที่เราดำรงลมหายใจนั้น เราใช้เวลาไปทุกขณะ
เราไม่เคยคิดว่าเราได้เดินเข้าใกล้เวลาที่หมดลงทุกที
ความตายไม่ได้มาเยือนเราเมื่อเวลาสิบนาทีสุดท้าย
แต่..มันดำรงอยู่กับเราเสมอมา
เราใช้เวลาก้มหน้าทำข้อสอบให้เต็มที่
ผมยังนิยมอาจารย์ว่า ในวันนี้ท่านหยุดทำข้อสอบแล้ว
อาจารย์ตั้งใจจะนั่งทบทวนข้อเขียนที่ได้ทำไป
ทบทวนและทำความเข้าใจมันอีกครั้ง

ในวันวัยเช่นนั้น, ผมจะเท่าทันเช่นอาจารย์ไหม ?
.......(ไม่รู้).....
จะมีโอกาสเช่นนั้นไหม ?
.......(ไม่รู้).....

เพียงแต่อย่างน้อยวันนี้
ผมไม่ได้หวาดกลัวมากเท่าเมื่อรู้จักกันครั้งแรก
ผมยังตั้งใจจะทำข้อสอบให้เต็มที่
สูดลมหายใจให้เต็มปอด
แล้วหายใจออก
ต่อไป...

ป.ล. ผมเขียนเรื่องนี้ขณะฟังเพลง A Love That Will Last ของ Renee Olstead
ต้องอ้างอิงและขอบคุณ ที่นี่ ครับ
ดันมาฟังเพลงรักขณะเขียนอีกแล้ว ^^

ป.ล.สอง ผมคิดว่าได้เขียนเรื่องที่ใครๆ ก็ใคร่ครวญ อาจไม่แตกต่างกัน
ถือว่าผมบันทึกความคิดไร้แก่นระหว่างร่วงหล่นจากสะพานเท่านั้นก็ได้ครับ,
เพียงสนทนา ^^