the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Saturday, September 30, 2006

โลกที่ผมไปพบมา...

วันนี้

ออกจากห้องไปตามถนนหนทางในเมืองหลวง
เพื่อซื้อซอฟแวร์เถื่อนที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่า
รถเมล์ติดอยู่บนถนนเพชรบุรีพักใหญ่ในเช้าวันเสาร์
เมื่อผ่านจึงทราบว่า เพราะมีรถทัวร์คันหนึ่ง
กำลังพยายามออกจากซอย

เรื่องมันคงมีเท่านั้น หากว่าผมไม่เห็นชื่อบริษัท
แล้วคิดไปไกล... บริษัท "เห็นดี"
แน่นอนในความหมายก็เพื่อพาไปไหนก็ได้เห็นแต่สิ่งดีๆ
(^^)แต่ผมคงคิดอะไรไปไกลเอง และพี่บีมคงเข้าใจ

เมื่อกวาดสายตาไปทางไหนก็มีแต่รถแน่นท้องถนน
ผมมองกลับมาในรถอีกครั้ง หลังจากได้นั่งสักที
พนักด้านหลังของที่นั่งเต็มไปด้วยโฆษณาน้ำผลไม้ยี่ห้อหนึ่ง
ที่มีน้องโฟร์ น้องมด เป็นตัวแทนสินค้า

เรื่องมันคงมีเท่านั้น หากว่าผมไม่เห็นคำโฆษณาบน
พนักด้านหลังของคนขับที่เขียนว่า "ขึ้นมาแล้วอย่าทำหน้าแก่"

เรื่องมันคงมีเท่านั้น หากว่าป้ายที่ติดข้างกระจกบริเวณนั้นไม่เขียนว่า
"ที่นั่งสำรองสำหรับผู้สูงอายุ"
ผมอุทานบางประโยคในหัว....

โลกที่ผมเห็นมา

ผมเดินซื้อแผ่นปลอม ซอฟแวร์ ที่ละเมิดลิขสิทธ์ ทั้งๆ ที่
ไมโครซอฟท์ตรวจมาเจอทางอินเตอร์เน็ตว่าผมใช้ของปลอม
แต่ผมยังตั้งใจเต็มที่ ด้วยเบี้ยในกระเป๋ามันตะโกนอย่างนั้นออกมา
ไม่พลาดครับ ชั่วการเดินไม่ถึงชั่วโมง
มีคนแปลกหน้ามาทักผมถึงสามสี่หน ว่า "โป๊ไหมพี่?"
หน้าตาผมคงหื่นมากไปหน่อย ใครเจอใครก็ทัก
ไม่อยากสบตากับผู้ชายหน้าร้านซอฟแวร์เลย
(ผมก็ว่า ผมแต่งตัวเรียบร้อยไม่โป๊นะ หรือว่าผมจะมีเสน่ห์ดึงดูดบุรุษกัน^^)

ออกจากพันธุ์ทิพย์พร้อมซอฟแวร์สามแผ่น
ตั้งใจจะกลับไปล้างเครื่อง ฟอร์แมท แล้วลงโปรแกรมใหม่
แต่ก็ยังไม่รู้วิธีเลย เดี๋ยวค่อยๆ คลำทางไปล่ะกัน

หน้าป้ายรถเมลล์
เพลงเธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ของ ทีโบน
กระจายเสียงแตกพร่าออกจากลำโพงของชายคนหนึ่ง
กีต้าร์ไฟฟ้าตัวนั้น เสียงร้องที่ทำเอาผมนิ่งไป

"เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม
ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ
และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
ฮึม ฮือ...
ถนนสายนั้นที่ทอดยาว
มีเรื่องราวของความเป็นจริง
มีเงาไม้เอาไว้ให้พักพิง
มีให้เธอเอาไว้ยามอ่อนล้า
เธอเห็นท้องฟ้า นั่นไหม
เห็นเงาของเมฆหรือเปล่า
ทะเลสีครามที่ทอดยาว
เห็นความรักฉัน ...บ้างไหม"

เรื่องมันคงมีเท่านั้น หากว่าชายคนนั้นไม่ใช่คนตาบอด
"เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม?"
ในอกผมสั่น
เขาคิดและวาดภาพใดกันนะ เมื่อร้องเพลงท่อนนี้ออกมา
ผมเสียอีกที่ไม่เคยได้เงยหน้ามองท้องฟ้าเต็มๆ ตามาเนิ่นนาน
ท้องฟ้าใต้ดวงตาไร้แสงคือภาพชนิดใดกันนะ...

ผมควักเหรียญสิบออกใส่ในกระเป๋าที่วางด้านหน้าของเขา
ก่อนขึ้นรถเมล์และควานหาเงินค่าโดยสารอีกครั้ง

โลกที่ผมไปพบมา
ต่างจากโลกของคุณ-คุณ ไหมครับ?

ป.ล.
วันนี้มีข่าวเรื่องแท็กซี่คันหนึ่ง
พ่นสีด้านข้างตัวถังว่า "ทำลายประชาธิปไตย"
พุ่งเข้าชนรถถังในบริเวณพระบรมรูปฯ
จนกระโปรงหน้ารถพับหักพังอยางผิดรูป
คนขับเจ็บเข้าโรงพยาบาล ทั้งที่จากสภาพอาจจะถึงชีวิต
อะไร? ทำไม? อย่างไร?
นั่นเป็นอีกคำถามในโลกใบเดียวกันของเราครับ ^^

ป.ล.สอง
ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสีที่พ่นข้างตัวรถแท็กซี่
เขียนว่าอะไรกัน เพราะเมื่อคืนข่าวออกมาว่า
"พลีชีพเพื่อประชา"
แต่...ถึงมันจะเขียนว่าอะไร คำถามเหล่านั้นก็ยังลอยวน
ในโลกใบเดียวกันของเราครับ

Wednesday, September 20, 2006

19 กันยายน 2549 ภาพสมัยยังเด็กมันมาอีกแล้ว...

คณะปฏิรูปการในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เข้ายึดอำนาจการปกครองของประเทศไทย

ราวสักสี่ทุ่มกว่าๆ
ผมนั่งดูโทรทัศน์หลังจากเพิ่งกลับมาถึงห้องไม่นาน
ดูสาระแนจังดึกมุขตลกค้างคาก่อนที่จะตัดภาพเข้าเพลงที่มี
เนื้อหาสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสองเพลง
ผมเลื่อนรีโมตกดดูช่องต่างๆ ยังมีเพียงช่องสามและช่องเก้าเท่านั้น
ที่ยังเป็นรายการปกติ ไม่นานจากนั้นก็เป็นรายการเดียวกันทุกช่อง

ผมไม่รู้นะ แต่ไม่ชอบใจบรรยากาศเช่นนี้เลย
ติดตามด้วยดวงใจระทึกครับ


ป.ล. จาก บทบรรณาธิการเวบประชาไท ครับ
ป.ล.สอง ผมเห็นด้วยกับประเด็นนี้ของ อาจารย์จอน ครับ

Tuesday, September 19, 2006

แรงดึงดูด

ผมคิดมานานแล้วว่า...
บางทีการพบเจอของใครสักคนบนโลกนี้
มันเหมือนกับว่าเรามีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันอยู่

หากว่าการพบเจอ รู้จักของใครๆ คือ การโคจรรอบกันของดาวเคราะห์
หรือเคหวัตถุต่างๆ ในห้วงอวกาศอันว่างเปล่า
การมาพบเจอกันของใครก็ตามาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่การเผลอเรอ
ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุลิขิต แต่ความบังเอิญมากมายก่อรูปขึ้นเป็นเหตุการณ์ในชีวิตของเรา

ตั้งแต่วัยเด็กมานั้น ไม่รู้กี่ผู้คนที่เราพบเจอ จากพราก จดจำ และหลงลืมไปแล้ว
ในช่วงวัยหนึ่ง ผมเคยตั้งใจจะเขียนชื่อของคนที่ผมรู้จักทั้งหมดลงในสมุดบันทึก
เพื่อทบทวนกับพบเจอและจากพราก
แต่ทำไปได้เพียงผู้คนในช่วงวัยก่อนถึงชั้นประถมเท่านั้น
ก็รู้สึกว่ามันมากมายเหลือเกิน มากมายเกินไป...
ผมไม่สามารถ (หรือไม่ก็ยังไม่สามารถ) เขียนถึงผูคนในความทรงจำออกมาทั้งหมด

ผมคิดไปเองว่า เราเปรียบเป็นดาวเคราะห์ หรือเคหวัตถุในอวกาศไพศาล
การมาพบเจอกันของคนเรา
อาจบางทีเป็นเพียงดาวหางฮัลเลย์ที่เดินทางมาถึงแล้วผ่านเลยเนิ่นนาน 76-78 ปี
ค่อยมาเยี่ยมเยือนหน้าใหม่...
หรืออาจเป็นดาวหางเล็กๆ สักดวงที่โคจรหลงมาสู่แรงดึงดูดของกัน
แต่ เมื่อแรงดึงดูดนั้นไม่อาจมากพอ เขา-เธอก็เพียงพบและจากกันไป
อาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำมาเคยสบตากันผ่านห้วงอวกาศนี้

สำหรับบางคนนั้น "เพื่อน" การพบกันอาจแตกต่างออกไป
หรือไม่ก็ไม่ต่างกันหรอกกับกรณีอื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่พออธิบายความหมายในใจของผมได้ คือ
แรงดึงดูดอาจจะมากพอที่จะทำให้เรารู้ว่ามันอยู่ตำแหน่งแห่งหนไหน
มีความหมายเมื่อได้มองไปเห็น รับรู้
หรือเพียงความทรงจำของการโคจรรอบกันก็มากพอแล้ว
เพื่อน- ทำให้แรงดึงดูดของกันโคจรในระยะที่แตกต่างจากคนทั่วไป
อาจเป็นเรื่องของความฝัน การใช้ชีวิต การแบ่งปัน ความเข้าใจ เรื่องหวัเราะ
และเสียใจนานาประการ วงโคจรของเราอาจจไม่ได้พบเห็นกันทุกวัน
ไม่ได้พบเจอกันทุกบ่อย แต่ถึงแม้โคจรในระยะเช่นนั้น ก็กลับรู้สึกว่า
ยังมีกันและกันอยู่....

แรงดึงดูดบางชนิดก็ทำให้เราอึดอัดได้
เมื่อรู้สึกว่า ดาวดวงใดมีอำนาจและอิทธิพลเหนือความเป็นไปของเรามากเกินไป
แรงดึงดูดที่มากเกินไปจะกดเราให้อึดอัด และวงโคจรจะบิดเบี้ยวไปด้วยปัญหา
ผมไม่รู้ว่ากรณีของข่าวทักษิณกับการรับรู้ของผม พอจะจัดในวงโคจรรูปแบบนี้ไหม?
ถึงแม้มันจะได้รับการยืนยันแล้วก็ตาม... อาจบางทีในความหมายเช่นนี้ก็เกิดกับ
ความรัก ความรักที่ยิ่งหนียิ่งพบเจอ

ในประเด็นของ "คนรัก" แล้ว...
ผมเชื่อเอาเอง (อีกครั้ง) ว่า มีแรงดึงดูดบางชนิดที่พิเศษกว่าทั่วไป
แรงดึงดูดที่ทำให้คนสองคนพร้อมที่จะโคจรรอบกันไปเรื่อยๆ
แรงดึงดูดที่ทำให้ใครสักคนพยายามทำเรื่องราวมากมาย
เหนือไปจากที่เขาหรือเธอเคยคิดว่าจะทำ

แต่แรงดึงดูดของความรักนั้นมีที่ว่างเป็นองค์ประกอบ
ในการแบ่งปันแรงดึงดูดต่อกัน การโคจรรอบใครต่อใครเพียงฝ่ายเดียวนั้น
คงทำให้เขาและเธอเหน็ดเหนื่อยเกินไป... ดวงอาทิตย์อาจร้อนแรง
และทรงพลังอานุภาพมากเกินไปสำหรับความภักดีที่มีให้
ผมเห็นภาพของแรงดึงดูดแบบโคจรรอบๆ กันเสียมากกว่า...

ในขณะเดียวกัน, เขาและเธอก็ยังมีที่ว่างมากพอที่แรงดึงดูดจะไม่ทำร้ายกัน
จินตนาการถึงดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้าหากันด้วยแรงดึงดูดมหาศาล
การชนอย่างมโหฬารจะเกิดขึ้น ความเสียกายจินตนาการเป็นศูนย์ถึงภาพนั้น

ผมชอบภาพในหัวเกี่ยวกับเรื่องนี้
ชอบความรู้สึกของการได้โคจรรอบกันและกัน กับคนที่รัก
ชอบความรู้สึกที่จะได้แบ่งปันเรียนรู้ซึ่งกัน...
ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ในบางวันที่วิถีการโคจรบิดเบี้ยวนั้น
แต่ผมก็ยังเต็มใจที่จะนั่งลงพูดคุยและพร้อมที่จะเรียนรู้กันและกัน
ตามที่บอกแล้ว ข้างต้นว่า
มันคือแรงดึงดูดที่ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้จริง?

ผมเรียบเรียงมันออกมาได้ไม่ดี จากภาพและความคิดในหัว
เพียงแต่รู้สึกว่าอยากจะเขียนถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่ครั้งก่อนๆ ที่เอ่ยเกริ่นไว้
ไม่ต้องสงสัยครับ...
ผมพบดาวที่ผมปรารถนาจะโคจรรอบๆ ด้วยแรงดึงดูดนั้นแล้วครับ
(ไม่ต้องถามซ้ำ "ใช่แล้วครับ ผมมีคนที่ผมรักแล้วครับ" ^^)

ป.ล.
ขอให้พบใครที่คุณปรารถนาจะโคจรรอบๆ กันไปนะครับ

ป.ล. สอง
หลายคนอาจจะบ่นว่า มาเขียนอะไรเรื่องส่วนตัวเช่นนี้
ผมเพียงแต่เคารพตัวเองและความรู้สึกของคนที่เข้ามาอ่านเท่านั้นเองครับ
เพียงยืนยันและรายงานว่า ชีวิตผมโคจรไปมากน้อยเท่าใดแล้ว เท่านั้นเองครับ ^^

ป.ล. สาม
ผมทิ้งคำถามไว้หน่อยว่า มีใครเคยอ่านการ์ตูนเรื่อง บาเครุ
ผลงานของคนเขียนโดราเอม่อนบ้างครับ? ผมเพิ่งซื้อมาอ่านอีกรอบ
ไว้จะเขียนถึงนะครับ

Monday, September 11, 2006

เราเดินอยู่ในโลกใบเดียวกัน?

ในเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาที่ผมต้องจบไปแล้ว
ก่อนที่จะเรียนจบ และจากเมืองเชียงใหม่มา...

เย็นวันหนึ่งผมอยู่ในห้องของเพื่อน นั่งกินขนมอยู่คนเดียวหน้าโทรทัศน์
(แฮ่ม! เสมือนห้องของตนเองเชียว)
แล้วภาพหน้าจอโทรทัศน์ก็ตัดเข้ารายงานข่าวที่ทำให้คิดถึงหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง
รายงานข่าวเรื่อง เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
ภาพในโทรทัศน์ฉายซ้ำวนไปมาหลายๆ รอบ
ก่อนที่จะได้เห็นเครื่องบินอีกลำพุ่งเข้าชนสดๆ ในวินาทีที่การถ่ายทอดยังดำเนินไปอยู่
ภาพที่ประสาทตารับเข้าสู่สมองถูกฉายควบคู่ไปกับภาพการดีใจของผู้คนในปากีสถาน
ยอมรับในวินาทีต่อหน้านั้นเลยว่า...
ผมมีสำนึกเรื่องความสะใจที่อเมริกาได้รับการตอบสนองต่อการรุกรานที่เกิดขึ้นทั่วโลก
แล้วแวบถัดมา คือ เช็ด! คนบนตึกและผู้คนที่รับเคราะห์เหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องเลยนี่หว่า
เอ..เราต่างรับผลของการกระทำในตัวมนุษย์
เผ่าพันธุ์เดียวกันของเรา-เผาผลาญกัน

ห้าปีจากนั้น...
สงครามต่อต้านความหวาดกลัวของกองทัพสหรัฐฯ
ก็อุบัติขึ้นบนแผ่นดินที่การฆ่าฟันยาวนานดำรงอยู่
ห้าปีที่ข่าวคราวจากอิรัก อาฟกานิสถาน อิหร่าน ซีเรีย
สะท้อนออกมาเพียงเป็นผู้ก่อการร้ายที่มุ่งหวังทำลาย
โดยไม่สนใจวิญญาณของผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายเท่านั้น ความเกลียดชังเท่านั้น
ราวกับผู้คนที่ไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับมหาอำนาจคือศัตรู คือผู้ไร้ซึ่งวิญญาณของมนุษย์
ทำลาย ทำลาย ฆ่า ฆ่า มีคนตายด้วยความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเป็นรายวัน

ห้าปีแล้วหรอกหรือ ผมถามตัวเองในเช้าวันนี้...
ความเกลียดชังในตัวมนุษย์ไม่ได้น้อยลงเลย
ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ยามเมื่อพบเรื่องราวไม่เข้าใจในชีวิต
เช่น รถเมล์ที่ขับทะยานขึ้นบนเกาะกลางถนน แข่งกันด้วยเสียงเครื่อง เสียงบีบแตร
เสียงด่าทอ ผู้คนที่ผรุสวาทออกมาเสียงดัง
การหยิบปืนขึ้นมาฆ่าฟันกัน การบริโภคผลประโยชน์
โดยบีบบังเอาจากคนอื่น การทดลองยารักษาในผู้ป่วยที่ไม่มีโอกาสเลือก
บ่อยครั้ง ในบ่อยครั้งนั้น ผมถามตัวเองว่า...
เราเดินอยู่ในโลกใบเดียวกัน, อยู่หรือ ?



ป.ล.
ผมไม่มีญาติหรือเพื่อนล้มตายจากเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ณ ตึกเวิร์ลด์เทรด
แต่ห้าปีจากนั้น มีคนที่รู้จักจากไป และอุบัติชีวิต ความรู้สึกใหม่ขึ้นมากมาย
ผู้คนล้มตายทุกวัน ธรรมชาติก็กลืนหายไปทุกวัน
ผมเองล่ะ....?

Wednesday, September 06, 2006

ซี-ซั่น-เช้งอ่ะ

ไปดูมาแล้ว season change
อืม... ชอบวิธีการเล่าเรื่อง ชอบเพลง
ชอบน้องอ้อม ชอบเพื่อนๆ ชอบ "จะกินที่นี่ หรือไปกินที่บ้าน"
ศาลายาสวยดีแบบที่หนังควรใช้ในการเล่าเรื่อง
ชอบหลายอย่าง แม้จะมีที่ติอีกหลายแห่ง
และหนังจะยาวสองชั่วโมงกว่า
จนพี่คนนั้นปวดฉี่
แต่ก็สนุกดี ชอบ ^^

เขียนเท่านี้ก่อนล่ะกันนะ

ป.ล.
สวัสดีเดือนกันยายนจ้า ^^
ไว้จะมาเขียนเล่าเรื่องอีกมากมาย
ระหว่างลมหายใจไหลเข้าออกข้างนอกโลกใบนี้ครับ