the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Friday, February 16, 2007

บูชาครู

ผมเพิ่งยกมือจบท่วมหัว...
กับอาจารย์ในจอโทรทัศน์
ครูผู้ที่ทำให้ความหมายของผมทรงคุณค่ายิ่ง
เมื่อได้มีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตได้รับการสั่งสอน
พูดคุย และเมตตาจากอาจารย์ จากครู
ผู้ซึ่งผมถือเป็นครูที่แท้จริง...อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์

บรรทัดต่อไปข้างล่างนี้
คือบางถ้อยคำของครู
ที่รุ่นพี่คนหนึ่งบันทึกในสมุดเลคเชอร์ของรายวิชา
ที่ครูเป็นผู้สอน...

********************
ความยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่วางตั้งอยู่บนเรื่องเล็กๆ ในการ
คิดและเลือกว่า อะไรมีประโยชน์และอัไรไม่มีประโยชน์นี่เอง เมื่อใดมี
การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการคิดว่าอะไร "มี" หรือ "ไม่มี"
ประโยชน์ เมื่อนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง "ความหมาย" และ "คุณค่า"
ของชีวิตอย่างมโหฬาร

วิถีชีวิตของคนแต่ละคนเป็นไปตามวิถีแห่งการคิดและตัดสิน
ใจเลือกให้ความหมาย แก่สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา และความหมายของ
สิ่งต่างๆ ที่เราให้ไปนั่นแหละ จะกลายมาเป็น "ความหมายแห่งชีวิตของเรา"

ปรัชญาก็คือทั้งหมดทั้งสิ้น ของกระบวนการเลือกให้ความหมาย
แก่สิ่งต่างๆ และตัวเองนั่นแหละ เพราะฉะนั้นบทบาทของปรัชญา
จึงไม่ใช่เป็นบทบาทของใครอื่น แต่เป็นบทบาทของตัวเราเองที่จะปรับ
แก้ แต่งเติม กระบวนการคิด ตัดสินใจ เลือกให้ความหมายแก่สิ่งต่างๆ
เพื่อให้เป็นความหมายที่งดงามแห่งชีวิต และตัวตนของเราเอง

*********************

ความ "เหนื่อย" เป็นความหมายของชีวิตที่มนุษย์แต่ละคน
กำลังแสวงหา พูดอย่างนี้เดี๋ยวจะงง จึงขออธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยดังนี้

ชีวิตของคนเรามีความหมายอยู่ที่ได้กระทำ และให้คุณค่ากับ
การกระทำนั้นๆ ตัวอย่างเช่น นักกีฬาวิ่งมาราธอน การได้วิ่งในระยะ
ที่ไกลๆ เป็นความหมายของความเป็นนักวิ่งมาราธอน เพราะความหมาย
ของการเป็นนักวิ่งมาราธอนก็คือ การได้วิ่ง ได้เหนื่อย ได้เข้าเส้นชัยด้วย
อาการเหนื่อยอ่อน ทั้งๆ ที่รู้และได้ประจักษ์แจ้งชัดแล้วว่าเหนื่อย แต่นัก
วิ่งมาราธอนก็ยังวิ่งอยู่ต่อไปไม่รู้สึกกลัวความเหนื่อย เพราะ "ความเหนื่อย"
คือ ความหมายของชีวิตนักวิ่งมาราธอน เมื่อใดที่เขาเลิกวิ่ง เขาก็จะไม่
เป็นนักวิ่งมาราธอนอีกต่อไป เหลือไว้เพียงอดีต

ชีวิตคนเรามีนัยความหมายคล้ายๆ กับการวิ่งมาราธอน คือ
ความหมายของความเป็นตัวเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำ ในความเป็นนั้นๆ
ดังที่เราเป็นนักศึกษาอยู่ในปัจจุบันนี้ เหนื่อยไหมที่ต้องเป็นนักศึกษา ที่
ต้องอ่านหนังสือมากมาก นอนดึก ต้องมาอดทนนั่งฟังใครไม่รู้มาพูด
อะไรที่ไม่น่าสนใจให้ฟัง โดยที่เราไม่มีสิทธิ์ปฎิเสธและเลือกจะนั่งใน
เฉพาะเรื่องที่อยากนั่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหนื่อย แต่เราก็ไม่เลิกเป็นนักศึกษา
เพราะความเป็นนักศึกษามันมีความหมายให้คุณค่าบางอย่างแก่ชีวิต

ในการกระทำอื่นๆ ในชีวิตของแต่ละคนก็เช่นกัน ที่การกระทำ
นั้นก่อให้เกิดความหมายและคุณค่าแก่ชีวิต ต่างแต่เพียงว่าคนเราแต่ละคน
มีวิถีชีวิตของการแสวงหาความหมาย และสร้างคุณค่าผ่านการกระทำที่
แตกต่างกัน คนบางคน ความหมายและคุณค่าของชีวิตอยู่ที่ได้รับ
มาแล้วครอบครองไว้ ขณะที่บางคนความหมายและคุณค่าของชีวิตอยู่ที่
การให้ไม่ถือครองไว้ คนสองคนนี้เป็นคนเหมือนกัน แต่เขากำหนด
ความหมายแห่งความเป็นตัวเองแตกต่างกะน ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ใน
ความแตกต่างนี้ มีแต่ว่า ตัวเราเองจะต้องเลือกที่จะแบบใดในสองแบบนี้
การจะเลือกได้ต้องเข้าใจความหมายของความเป็นสองแบบนี้ผ่าน "ความรัก"

ในกิจกรรมแห่งความรัก เมื่อใดที่เราปรารถนาจะรักใครสักคนหนึ่ง
แล้วความปรารถนางอกงามขึ้นในใจเรา การได้ "ให้" อะไรแก่คน
ที่เรารัก จะเป็นความสุขของเรา ในวันวาเลนไทน์ได้ให้ดอกกุหลาบดอกหนึ่ง
แก่เขาที่เรารักจะเป็นความหมายที่ดีงามในการได้ให้ แต่ในขณะเดียวกัน
ถ้าเราปรารถนาจะให้เขารักเรา เราก็อยาก "ได้" อะไรจากคนที่เราคาดหวัง
ความรักจากเค้า เมื่อเราปรารถนาความรักจากเขา เราก็จะมีสุขจากการ
"ได้รับ" จากเขา ตรงนี้คือความแตกต่างระหว่างความเป็น LOVER
และความเป็น BELOVER และนี่คือความหมายที่แตกต่างซึ่งเราจะต้องค้นหา
ให้เจอแล้วเลือกที่มีชีวิตแบบ LOVER ซึ่งเป็น
SUBJECT หรือแบบ BELOVER ซึ่งเป็น OBJECT
SUBJECT คือผู้กระทำ OBJECT คือผู้ถูกกระทำ
SUBJECT มีอิสระ OBJECT ไม่มีอิสระ
SUBJECT เป็น ACTIVE ขณะที่ OBJECT เป็น PASSIVE

ความหมายแห่งความเป็นตัวเราปรากฏขึ้น ณ จุดที่เราทำตัว
ของเราให้เป็น SUBJECT หรือ OBJECT

"ความเหนื่อย" เป็นสภาวะหนึ่งแห่งชีวิตที่เราจะต้องทำให้มัน
เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะทำความเหนื่อยให้เป็น
ความหมายที่มีค่าเป็นบวก หรือลบ ถ้าความเหนื่อยมีค่าเป็นบวก ชีวิต
เราก็มีคุณค่าเพิ่มขึ้น แต่ถ้าความเหนื่อยมีค่าเป็นลบ ชีวิตเราก็มีคุณค่า
ลดลง ผมเองเพียรพยายามที่จะทำความเหนื่อยให้มีค่า เป็นบวกกับชีวิต
ผม ผมมีความสุขกับการที่ได้เผชิญกับความเหนื่อย เหมือนนักวิ่ง
มาราธอนที่มีความสุขกับการได้วิ่ง...วิ่ง...และก็วิ่ง

เมื่อใดที่ผมรู้สึกท้อกับกิจกรรมแห่งชีวิตที่ผมกำลังทำอยู่ ผมก็คิดคิด
เพียงแค่ว่า ผมมีเวลาอันสั้นๆ ที่จะได้ทำกิจกรรมนั้น และผมอาจจะ
ไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นได้อีกเลยในชีวิตนี้

ขอบใจมากที่ให้เกียรติซักถามชวนคุยในประเด็นที่น่าสนใจใน
การดำเนินชีวิต

กุมภาพันธ์ 2547

***********************************

ผมทราบข่าวมาว่า...
ครูกำลังจะมีหนังสือที่เกิดจากประสบการณ์ในการเดินเท้า
จากเชียงใหม่สู่สมุย เพื่อเป้าหมายการเดินสู่ "บ้าน" ภายใน
ผมไม่รู้หนังสือวางแผงหรือยังนะครับ
แต่ถ้าวางแผงเมื่อไหร่...ผมจะไม่ลืมหามาเพื่อขยายมุมมอง
ในชีวิตที่ดีงามให้กลับมาอีกครั้ง...

ป.ล.
สำหรับเรื่องประสบการณ์การเดินเท้าของอาจารย์
สามารถหาอ่านได้จากที่นี่ก่อนนะครับ

Wednesday, February 14, 2007

วันนี้...

วันพุธกลางเดือนกุมภาพันธ์
ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบ
วันที่ใครหลายคนให้ความหมาย
หลายคนชอบ
หลายคนปฎิเสธ
หลายคนร้องไห้
หลายคนหัวเราะ
เช่นเดียวกับวันอื่นๆ ในรอบปี

โลกคงจะหมุนช้าลง
ถ้าเราเดินช้าลง
มองโลกให้ชัดขึ้น
เห็นความรักงอกงามจากพื้นดิน
เห็นรอยยิ้มจากใบไม้ผลิบานออก
ละอองฝนทิ้งตัวบนยอดหญ้า
ผ่านค่ำคืนเพื่อรอพบแสงตะวัน
เห็นหลุมบ่อบนถนนสกปรก
มูลสุนัขบี้เละเป็นรอยล้อรถ
ทุกอย่างเกิดขึ้นทุกวัน
และจากไปทุกวัน

อย่างน้อยความรัก
อาจหมุนและเคลื่อนโลกได้จริง

มีความสุขกับวันนี้และวันต่อๆ ไปนะครับ^^





ป.ล.
แหะๆ ยังเขียนของเมื่อวานไม่เสร็จเลย
เล่นวันนี้ซะแล้ว ^^ (ไปเขียนต่อดีกว่า)

ป.ล. สอง
เขียนเรื่องของเมื่อวานเสร็จแล้ว
แต่...เอ่อ... ไม่รู้เรื่อง ^^ (ฮ่าๆ)

Tuesday, February 13, 2007

หอคอยแห่งความสับสน (BABEL)

เตือนซะหน่อย : ใครยังไม่ได้ดูระวังผมเปิดเผยเนื้อเรื่องเอาเองนะ
ผมเขียนไปเรื่อยไปเทื่อยนะ ^^

ผมรู้จัก บาเบล ครั้งแรกจากหนังสือการ์ตูน...
(ฮ่าๆ การ์ตูนอีกแล้วตรู)
ไม่ได้รู้ความหมายเดิมว่ามีที่มาอย่างไร
คลับคล้ายว่าสมัยเด็กๆ ก็เคยได้ยินในทำนองเป็นตำนานด้วยเหมือนกัน
แต่เด็กสังกัดพุทธโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่เล็กก็ไม่ได้สนใจนัก

อย่างที่ขึ้นต้นไว้ ผมรู้จักหอคอยบาเบลจากการ์ตูนเรื่อง สปรีแกน
การ์ตูนต่อสู้เลือดสาดที่นิยมอีกเรื่องหนึ่งของผม
ตัวเอกเป็นเด็กชาวญี่ปุ่น (แน่นอนสิ คนเขียนอยู่ญี่ปุ่นหนิ)
ใส่ชุดกล้ามเนื้อเทียมที่สามารถปรับให้ทำงานได้ตามสั่ง
หน่วยงานของตัวเอกต้องคอยทำหน้าที่ค้นหาและพิทักษ์
อารยธรรมโบราณที่ล้ำหน้ากว่ายุคสมัยของเรา
ในเรื่องผู้เขียนบอกเราว่า โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก
ความลับหลายประการในโลกมาจากอารยธรรมโบราณ
ตำนานท้องถิ่นต่างๆ เช่น เรื่องมังกรแปดหัวของภูเขาไฟฟูจิ
ในการ์ตูนเรื่องนั้นบอกว่ามีศาลเจ้าประจำตระกูลหนึ่งที่ทายาท
สามารถควบคุมภูเขาไฟด้วยลูกแก้วในศาลเจ้าแห่งนั้น
หรือ ตำนานเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ต่างๆ ทั้งหมาป่า และแวมไพร์
ตำนานเรื่องคำพิพากษาจากพระเจ้าของชาวลุ่มแม่น้ำสินธุ
ป่าอาถรรพ์ในอินเดียกับลัทธินิกายบูชาพระนารายณ์
และรวมถึง หอคอยบาเบลด้วยครับ...

ในการ์ตูนเรื่องนั้น กล่าวถึง...
ตำนานเรื่องความทะเยอทะยานของมนุษย์
ที่ปรารถนาจะสร้างหอคอยที่สูงเทียมฟ้า
แต่เมื่อพระเจ้าทรงทราบจึงพิโรธแล้วบันดาลให้
ผู้คนที่สามารถสื่อสารกันเข้าใจ แตกแยกจากกัน
ไม่สามารถสื่อสารกันได้อีก เพื่อที่มนุษย์จะไม่สามารถ
รวมตัวกันและสั่นคลอนความมั่นคงของพระเจ้าได้

(อืม เรื่องราวทำนองนี้แปลกดี
เคยได้ยินเรื่องสมัยกรีกก็เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพ
ที่จะสั่นสะเทือนพระเจ้าได้ หากมนุษย์สมบูรณ์คือมีเพศรวมกัน
พระองค์จึงทรงจับเพศหญิงแยกออกจากจากชาย
แล้วทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาส่วนหายจนวันนี้
เอ่อ..ถึงวันนี้หลายคนก็ไม่ตามหาแล้ว ^^)

ผมว่าพระเจ้าในตำนานนี้แปลกๆ นะ
รับบทตัวร้ายไปเต็มที่เลยเชียว

แต่ในการ์ตูนไปเหนือกว่านั้นคือ เขากล่าวถึงบาเบลด้านมืด
ที่สร้างบนพื้นดินที่มีการรบพุ่งไม่ห่างไปนับแต่บรรพกาล

ผมกล่าววกวนมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่า
ทั้งหมดคือเรื่องที่ติดในหัวมาตลอด
จนมาได้ยินชื่อหนังเรื่อง BABEL อีกครั้ง
(โห...กว่าจะเข้าเรื่อง)

ผมจำชื่อผู้กำกับไม่ได้แล้ว
แต่รู้สึกว่าจะเป็นคนเดียวกับที่กำกับเรื่อง 21 grams
เรื่องราวความไม่เข้าใจกันและกันของมนุษย์ได้ปรากฎเรียงร้อย
ผ่านเหตุการณ์ผีเสื้อขยับปีกห้าเหตุการณ์...
เอาเข้าจริงๆ ผมชอบทุกเรื่องที่เล่าเป็นภาพทั้งเรื่องเด็กสาวชาวญี่ปุ่น
เด็กอาหรับสองคน (ในโมรอคโค?) แม่บ้านชาวเม็กซิโกกับงานแต่งลูกชาย
คู่รักแตกร้าวในดินแดนต่างชาติพันธุ์ และตำรวจกับการตัดสิน

ผมว่า คนเราหลงลืมอะไรพวกนี้ไปเกือบหมดแล้ว
การพยายามทำความเข้าใจคนอื่นน่ะครับ

เรื่องเริ่มต้นจากภูมิประเทศรกร้าง
ดินแดนที่การค้าขายยังเป็นการแลกเปลี่ยนโดยไม่อาศัยสื่อกลาง
ปืนกระบอกหนึ่งเดินทางมาถึงมือของเด็กชายสองคน
การสื่อสารมันผิดพลาดหรือไงกันนะ?

คำพูดเป็นการสื่อสารประการหนึ่งของมนุษย์
แต่การไม่พูดก็เป็นการสื่อสารด้วยเหมือนกัน
ช่องที่ผนังห้องน้ำบอกถึงอะไรบ้าง ใครรู้ว่าเธอต้องการเช่นนั้นจริง
เมื่อน้องชายได้รับคำชมมากกว่า
ความปรารถนาจะเหนือกว่าจึงแสดงออกเสมอ
ผมไม่รู้ว่าการช่วยตัวเอง...
ก่อนที่จะปล่อยความตายจากกระบอกปืนมีความหมายอย่างไร?

ในโลกลี้ลับเช่นนั้น
การละเล่นของพวกเขาสองคน
ทำให้โลกสะเทือนไปสู่ชีวิตของผู้คนในอีกซีกโลก

กระสุนปริศนาเจาะทะลุซอกไหล่ของหญิงสาว
ที่เดินทางมาสู่โลกแปลกหน้ากับคนรัก
บาดแผลจากความทรงจำเรื่องการสูญเสียลูก
ทำร้ายความสัมพันธ์ รวมถึงการหลีกเลี่ยงการสื่อสารต่อกัน
หญิงสาวไม่ถูกชะตากับเมืองแปลกหน้า
เธอปฏิเสธความแปลกปลอมของชีวิต

"เรามาทำอะไรกันที่นี่"
"มาเพื่ออยู่ลำพัง"
ภาพตัดไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่โดยสารมาในรถคันเดียวกัน
ผู้คนจากประเทศเดียวในต่างแดน

ความอึดอัดพาดทับในดินแดนที่ความไม่วางใจสถิตย์
ผู้คนในโลกตะวันตกมองว่าชาวอาหรับ
มีความโหดร้ายและป่าเถื่อน หลายคนบนรถโดยสารอยากจากไป
ข่าวชาวอเมริกันถูกยิงเป็นประเด็นทางการเมืองขึ้นมาทันที
เรื่องโยงไปสู่การก่อการร้ายโดยไม่ต้องรอเวลา

การสื่อสารระหว่างมนุษย์ล้มเหลว...

โทรศัพท์ข้ามทวีปถึงพี่เลี้ยงเด็กของลูกๆ
มีเพียงคำสั่งเมื่อสายตัดลงไป พี่เลี้ยงชาวเม็กซิกัน
ต้องเดินทางข้ามประเทศเพื่อกลับไปงานแต่งงานของลูกชาย
เธอตัดสินพาเด็กๆ ข้ามพรมแดนไปด้วย
เรื่องบางเรื่องเรียกว่าความตั้งใจได้ไหมนะ
อืม....ไม่รู้สิ

เรื่องจากตรงนั้นนำไปสู่การกระทำต่อเพื่อนมนุษย์
แบบแบ่งแยก การตัดสินของตำรวจ
(ในสายตาอาจมีเพียงผู้บริสุทธิ์หรือคนร้าย ไม่มีที่ว่างอื่นๆ)
ผมคลับคล้ายว่า กามูส์เคยกล่าวถึงเรื่องการตัดสินไว้ใน
มนุษย์สองหน้า มันติดในหัวมาตลอด...
การรับผิดชอบตัดสินใครเนี่ยมัน...แย่(ว่ะ)

ผมชอบรายละเอียดในเรื่องของเด็กสาวชาวญี่ปุ่น
หูหนวกและเป็นใบ้ โลกของเธอเชื่อมโยงกับอะไรบ้างนะ?
การสื่อสารถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก
หนังให้ภาพของการตัดสินอีกครั้ง การตัดสินจากภายนอก
ลูกนั้นออกแน่ๆ แต่ผู้มีอำนาจตัดสินเช่นเคย...

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า?
แต่รู้สึกว่าโตเกียวเป็นเมืองที่มีสรรพเสียงจำนวนมากปะทะกัน
ท่ามกลางความอลหม่านโกลาหลเช่นนั้น...
เสมือนเธอเดินอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างดุจเดียวกับ
ในภาคของเด็กชายชาวอาหรับ
และแม่เลี้ยงชาวเม็กซิกันที่ย่ำเท้าไร้ทิศทาง
(เข้าไปดูรูปโปสเตอร์หนังที่บล็อกคุณขามได้ครับ)

มนุษย์พลัดหลงเช่นนั้นนะ...ผมว่า
เราต่างพลัดหลง เคว้งคว้างไร้ทิศทาง
เมื่อเราไม่อาจสื่อสาร ไม่อาจเข้าใจซึ่งกันได้
โดยการยึดมั่นในมายาคติต่างๆ

ผมชอบฉากความล่มสลายในเธค
(เอ...โรคจิตไหมเนี่ย?)
เธอพลาดหวังนับครั้งไม่ได้
ทำทุกอย่างโดยปรารถนาจะสื่อสารกับโลกรอบข้าง
ตัวละครตัวหนึ่งพูดถึงเธอว่า
"มันหงุดหงิดเพราะไม่มีใครนอนด้วย"

เธอแสวงหาการสื่อสาร
วิธีการเดียวที่เธอคิดว่าจะเดินทางไปถึง
คือการสัมผัส
การได้แตะต้องเนื้อตัวจึงมีความหมายกับเธอมาก
(ในความคิดของผมนะ^^)

หนังใช้การตัดสลับระหว่าง
มุมมองของเธอกับโลกรอบข้าง
เสียงสนั่นหวั่นไหวรอบข้างไม่อาจเดินทางไปถึง
มีเพียงโลกกวัดแกว่งแสงสีเริงเล่นรอบข้าง
คล้ายความฝันมาเยือน
ทุกอย่างล่มสลายเมื่อเพื่อนสนิทของเธอเอง
คว้าความหมาย ความหวังของเธอไปต่อหน้า...

การปลดเปลื้องตัวเองออกจาก
เครื่องห่อหุ้มจึงเป็นวิธีการที่เธอเลือก
เมื่อเกราะของความไม่เข้าใจสูญสลาย
เราจะสื่อสารกันด้วยบางสิ่งที่สามัญยิ่ง

สองสามีภรรยาในโลกแปลกหน้า
เปลื้องปลดตัวตนของอดีตที่หลอกหลอนออกไปได้
สองพี่น้องชาวอาหรับโลกแตกสลายเช่นเดียวกับ
พี่เลี้ยงชาวเม็กซิกัน เราไขว่คว้าหมายยึดเกาะบางสิ่ง
สุดท้ายความหมายอยู่ในสายลม

ซานดิเอโกจากไปจากท้องเรื่อง
ชะตากรรมมีความหมายเช่นใดบ้าง
เขาอาจจะหนีรอด แล้วหลังจากนั้นล่ะ
กับเพื่อนของเขา และป้าของเขา
หนังทิ้งไว้ให้เราคิดต่อไปเอง...

เนื้อหาในจดหมายคืออะไร?
ความหมายใดที่ทำให้เธอกล่าวถึงการตายของแม่
ต่างไปจากผู้เป็นพ่อ...

ภาพค่อยๆ ถอยออกจาก
มุมสูงของตึกสูงแห่งหนึ่งในมหานคร
โลกแตกร้าว
เราแตกต่างแยกออกจากกัน
เมื่อหอคอยแห่งความสับสน
สถาปนาและสาบสูญ
ตำนาน มายาคติ
ทำให้เรามิใช่ "เรา"

ผมเขียนถึงเรื่องนี้ด้วยเหตุผลประการหนึ่ง
เพราะมีเรื่องครุ่นคิดกับประเด็นต่างๆ
ที่ไม่อาจเข้าใจได้ในวันนี้...

แต่อีกประการหนึ่งคือ
เหมือนพระเจ้าต้องการสื่อสารกับผม
วันนั้น ผมดูหนังไม่ค่อยมีสมาธินัก
เพราะมีคนเดินเข้าโรงภาพยนตร์ช้าเกือบครึ่งชั่วโมงไปสองคน
ผู้หญิงเข้ามาก่อน และอีกราวยี่สิบนาที
"เขา" ก็ตามเข้ามา...

บทสนทนาดังแทรกภาพยนตร์ตลอดเรื่อง
พวก "เขา" นั่งอยู่ติดกับเพื่อนของผม
ผมนั่งมองหน้าเขาหลายหน
เพื่อนพยายามห้ามให้อารมณ์เย็น

เมื่อเพลงขึ้นและแลงไฟสว่างขึ้น
ผมลุกขึ้นยืน รอให้เขาเดินผ่าน
เพื่อแตะข้อศอกเขาก่อนจะบอกว่า
การกระทำของเขาทำให้ผมชมภาพยนตร์ไม่รู้เรื่อง
ด้วยหมายให้ เขาไม่ทำเช่นนั้นอีกในครั้งต่อไป
ผมไม่รู้ว่าเขาเข้าใจความหมายนี้ไหม?
แต่ผมก็เดินหงุดหงิดออกจากโรงหนังในวันนั้น

"เรา" อาจไม่เข้าใจกันก็ได้...


ป.ล.
สังเกตไหมครับว่า...
ผมแบ่ง "เขา" และ "เรา" เช่นกัน
เฮ้อ...

ป.ล. สอง
หากข้อเขียนในวันนี้ทำให้คุณสับสน
และรู้สึกว่า (มัน) เขียนอะไรว่ะเนี่ย?
ผมถือว่าประเด็นการสื่อสารของมนุษย์น่ะ ล้มเหลว
ไปถึงทุกคนแล้ว ^^

Sunday, February 04, 2007

เราปลูกฝังความเกลียดชัง

บ่ายวันนั้น
ผมเดินออกจากประตูทางด้านหน้า...

หอพักของผมต้องใช้คีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู แต่เพราะเจ้าของห้องแต่ละห้องนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกัน ในลักษณะที่มีผู้เช่าซื้อและนำออกปล่อยให้เช่าต่อ จึงมีผู้คนมากมายเดินเข้าออกหอพักไม่ซ้ำหน้าและหลายคนนั้นไม่มีคีย์การ์ด บ่อยครั้งที่ผมเดินเข้าในเวลาเย็นก็จะมีสตรีชาวจีนเดินสวนออกมาในชุดที่จะออกไปทำงาน มีชาวผิวดำในชุดประจำชาติ ลักษณะของการนำผ้าผืนยาวมาตัดเป็นเสื้อและกางเกงสีเดียวกัน และมีผู้คนหน้าตาออกไปทางชาวตะวันออกกลาง และเอเชียใต้อยู่ไม่น้อย

หอพักของผมอาจเป็นสหประชาชาติขนาดย่อม
การเปิดประตูให้กับคนที่ไม่มีคีย์การ์ด ทำให้ผมได้ยินทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ
กล่าวโดยความหมายถึงคำว่าขอบคุณ...

ช่วงสองปีมานี้ประชากรในหอพักเพิ่มมากขึ้น
ผมสังเกตเอง โดยดูจากจำนวนของเด็กที่พากันออกมาวิ่งเล่นใต้หอพัก
มีทั้งที่เป็นเด็กหญิงน่ารักชื่อนุช หรือน้องแตงโมที่เพิ่งคลานได้
เด็กบางคนยังอยู่บนรถเข็น กลุ่มเด็กผู้หญิงสามสี่คนของร้านขายข้าวใต้หอที่น่าจะเรียนอยู่ชั้นประถม รวมถึงเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกลุ่มใหญ่ประมาณหกถึงเจ็ดคน จับกลุ่มวิ่งเล่นและทะเลาะกัน

แต่ที่สะดุดตาของผมเสมอเป็นเด็กชายวัยไม่เกินสิบปีสองคน ผมเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ผมมักเห็นพี่น้องทั้งสองคนนี้ เล่นด้วยกันอยู่ในบริเวณใต้หอพัก คนพี่เป็นผู้ได้สิทธิในการปั่นจักรยานที่มีอยู่เพียงคนเดียวสม่ำเสมอ ส่วนคนน้องทำได้เพียงวิ่งตามและสนุกสนานไปด้วย

ผมมักยิ้มในใจเสมอที่ได้เห็นภาพนั้น
ผมชอบดวงตาของน้องชาย
ที่มีประกายตาฝันถึงการได้สัมผัสและปั่นจักรยานสักวันหนึ่ง

ผมยังไม่ได้บอกว่า เด็กชายทั้งสองนั้นเป็นลูกของชาวต่างชาติ
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชาติไหน แต่เข้าใจว่ามีเชื้อชาติจากแถบอินเดีย หรือศรีลังกา
กระนั้นสำหรับผม เขาทั้งสองเป็นเพียงเด็กชายเท่านั้น...

บ่ายวันนั้น
ผมเดินออกจากประตูทางด้านหน้า...

หน้าประตูเด็กชายทั้งสองคนกำลังเล่นอยู่ตามปกติ
ผมเปิดประตูคีย์การ์ดออกไป พอดีกับพี่สาวคนขายของชำร่วยใต้หอพัก
กำลังพยายามเปิดประตูและขนน้ำเข้ามาส่งด้านใน
พี่สาวคนนั้นหันไปตวาดเรียกเด็กทั้งสอง...
“เข้ามาได้แล้ว! เร็วๆ !!”
ไม่เพียงน้ำเสียงเท่านั้นที่กระชากเรียก สายตาก็เสมือนเบ็ดเกี่ยวรั้งแล้วดึงเต็มแรง
แต่เด็กทั้งสองไม่มีทีท่าจะสนใจเสียงเรียกและดวงตาคู่นั้นเลย
พี่สาวคนนั้นโวยวายอะไรอีกหลายคำ
แต่มีเพียงคำเดียวที่ทะลุสมองเปราะบางของผมเข้ามาได้
“....โง่เอ๊ย”
พี่สาวส่งเสียงแค้นเคืองเท่านั้นก่อนปิดประตูหายเข้าไปด้านใน


ผมคิดว่าเด็กทั้งสองคนนั้นไม่ทราบหรอกว่า
พี่สาวคนนั้นพูดว่าอะไรบ้าง
แต่...

ผมเชื่อว่า บรรยากาศ สีหน้า น้ำเสียงเหล่านั้น
สามารถสื่อสารไปถึงพวกเขาได้ (แม้จะภาวนาว่า การสื่อสารเป็นอัมพาตทีเถอะ)
ส่วนจะมากน้อยเท่าใดนั้น ไม่อาจรู้ได้
และมันจะตกค้างหรืองอกเงยขึ้นในใจของเด็กทั้งสองหรือไม่...
ผมไม่รู้...


เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในบ่ายวันนั้น
เด็กสองคนนี้เคยตกเป็นเป้าหมายของเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่รอบข้าง
ผมไม่รู้ว่า พี่คนนั้นพูดอะไร เพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง
พี่เขาเพียงทำเสียงล้อคำพูดภาษาต่างประเทศของเด็กทั้งสอง
เสียงหัวเราะกังวานใส่เด็กที่ไม่อาจสื่อสารกับโลกรอบข้างได้

ผมไม่รู้ว่า คนเรากระทำเรื่องราวประเภท
แยกเขาออกจากเราเพื่อเป้าหมายอะไรบ้าง
แต่จากที่เคยได้ยินมานั้น การแยกเขาออกจากเราได้ยิ่งชัดเจนเพียงใด
ก็จะทำให้เราสามารถกระทำเรื่องราวต่างๆ ต่อเขาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
สมัยเหตุการณ์สิบสี่ตุลาฯ การประกาศว่านักศึกษาเป็นญวน เป็นคอมมิวนิสต์
ทำให้เกิดศพจำนวนมากในเมืองหลวง

ในขณะที่เราเรียกร้องให้ใครเข้าใจ
เราละเลย เพิกเฉยไปมากน้อยเท่าใด

เรื่องเล่าของเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางไปเมืองนอก
ด้วยทุนเล่าเรียนในสมัยมัธยมฯ สำหรับการจากบ้านเช่นนั้น
เขาเป็นคนที่เรียนเก่งและสามารถได้รับสิทธิ์นั้น
แต่สังคมที่นั่นเพาะเรื่องราวบางประการต่อจิตใจเขา
ในงานเลี้ยงสังสรรค์ประดามีตามประสา
ชายผมทองคนหนึ่งตะโกนสาดเสียงใส่เขา
ท่ามกลางแอลกอฮอล์คละคลุ้งในลมปาก
"มึงมาที่นี่ทำไมว่ะ ไอ้ลิง กลับไปซะ!!"

ผมไม่รู้จักประสบการณ์ประเภทนี้
ค่าที่ไม่เคยเดินทางออกไปยังต่างแดน
และโดยมาตราฐานความเชื่อของผม ซึ่งเชื่อเสมอว่า
ผมไม่เชื่อเรื่อง stereotype เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะ
กระทำการเช่นนี้ อาจมาก อาจน้อย ผมไม่รู้
พี่ๆ เพื่อนๆ อีกหลายคนที่ไปตระเวนชีวิตที่ต่างแดนอาจจะตอบ
ต่อเรื่องราวเช่นนี้ได้ชัดเจนกว่า

แต่ขณะที่ผมก้าวเท้าข้ามน้ำครำในตลาด
เสียงแหวกอากาศประการหนึ่งก็กระทบเข้า
"ใช้ผ้ายาวกี่เมตรมาตัดเสื้อว่ะ"
"มึงใช้ผ้ากี่เมตรว่ะ"
แล้วเสียงหัวเราะก็เจือกัน
ประโยคสบถเหมือนพูดกับตัวเองและเพื่อนข้างๆ
ของชายวัยกลางคนบริเวณร้านข้าวราดแกง
ประโยคดังกล่าวพุ่งเป้าไปสู่ชายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าผม

เขาสวมเสื้อประจำชาติที่ตัดจากผ้าสีน้ำเงินเข้ม
ชายผิวดำยังคงเดินต่อไป เหมือนไม่รับรู้ความหมายของคำถามที่พุ่งใส่
ผมไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนคนนั้น มุ่งหมายถึงคำตอบหรือไม่?
หรือเพียงหยิบจับความแตกต่างให้เป็นขนมขบเคี้ยวหลังมื้ออาหาร
ผมไม่รู้...

เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านของเราเลือกปฏิบัติต่อคนให้แตกต่างกันไป
เด็กที่อยู่ในบ้านจะเลือกเลียนแบบจากพฤติกรรมของใครกัน
เด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ใต้หอจะแบ่งแยกกันไหม?
พวกเขาจะรู้สึกแปลกแยก
และสามารถกล่าววาจาใดๆ ก็ได้ต่อเด็กชายทั้งสองคนนั้นไหม?
เด็กชายทั้งสองพี่น้องล่ะ
พวกเขาได้รับบ่มเพาะแล้ว เมล็ดพันธุ์อุบาทว์มันจะงอกเงยหรือไม่นะ

ผมเชื่อว่า...
แม้ไม่อาจสนทนาด้วยภาษาอย่างเข้าใจ
แต่สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง จะส่งผ่านไปถึงผู้รับได้ว่า
ความหมายเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการใด

ได้แต่ภาวนาและตั้งสติ
ให้ตัวเองไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการหว่านเพาะ
สิ่งเหล่านี้ต่อคนอื่นๆ ไปด้วย
แม้มันจะยากเหลือเกินก็ตาม...






ป.ล.
ขโมยเพลงมาจากบล็อก พี่ตู่ (สตอเบอรี่บางวัน แต่ช็อกโกแล็ตทุกวันเลย) ครับ

ป.ล. สอง
เปลี่ยนเพลงแล้วครับ เป็นของ วงสุดสะแนน ในอัลบั้ม เพลงรักเชียงดาว น่ะครับ ^^