the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Wednesday, January 31, 2007

อย่าให้ความเคยชินกลืนกิน,วิญญาณเธอ

(๑)
สี่ – ห้า ก่อนในมหาวิทยาลัย,เราได้รู้จักกัน
ผ่านคืนวันเหมือนกระพริบตาครั้งเดียว
ความทรงจำผุดโผล่กลับมาอีก
บางทีเธอช่วยฉัน บางครั้งได้ตอบแทนเธอ
เด็กสาวรุ่นน้องคนนั้น …
… กลายเป็น”เพื่อน”คนหนึ่ง

ทองกราวบานแล้วโรยรา
เวลาขยับเดิน – เราจากกัน

(๒)
นึกถึงเรื่องราวมากมายระหว่างเดินทาง
รอนแรมในโลกแปลกหน้าอย่างเดียวดาย

ห้องแถวชั้นเดียวหลังนั้น
ฉันอาศัยนอนในวันแรมร้าง
และในบางคืนที่เธอต้องการเกราะ ,
ปกป้องเธอจากหนามอ่อนของมิตรภาพ

รถโดยสารกลับบ้าน ขบวนนั้นที่เรานั่งชิดกัน
ห้าชั่วโมงก่อนถึงบ้าน
สำหรับฉัน ไม่เนิ่นนานอย่างเคย

ถนนหลายสายในเมืองอันเคยคุ้น
เธอซ้อน – ฉันขับ ทะยานสู่ทุกร้านหนังสือเก่า
ที่กระเป๋า เรามีแรงพอ


ขณะเดินทางเคี่ยวกรำตัวเอง
กลับยิ่งคิดถึงเธอ ,เด็กสาวรุ่นน้องคนนั้น


(๓)
ทองกราวบานแล้วโรยรา
จากกันวันนั้น
เธอมุ่งหน้าสู่เมือง - -
ห่างอีกชั่วการบานและโรยรา
ด้วยปรารถนา
ฉันก็มุ่งหน้าสู่เมือง – เพื่อพบเธอ

(๔)
เมืองหลวงโหดร้ายเสมอสำหรับฉัน
กับการพบเจอชายไร้บ้านนอนบนทางเท้า
ในโมงยามใหม่ของวัน…
ซึ่งอีกสามชั่วโมง เด็ก - หนุ่มสาวมากมาย
จะกรีดกรายผ่านสถานที่เดียวกัน
ของสยามสแควร์
อย่างเป็นปกติ และคุ้นชิน

หรือ ,
ชายเก็บกระดาษขายกับสามล้อแดง
เขาวิ่งไล่คว้ากระดาษที่กระจายทั่วท้องถนน
ขณะรถยนต์ทุกคัน กระชากกระดาษลอยคว้างขึ้นมาอีก
ลับหายไป ข้างหน้า คันแล้ว คันเล่า
เมืองหลวง , กว้างใหญ่เกินไป
แปลกใหม่เกินไป จนไม่อาจเคยชิน

บนรถเมล์…
ฉันลุกให้เด็กสาวแปลกหน้านั่ง
เด็กคนนั้น - - ตกใจ !! มองฉันอย่างไม่เชื่อสายตา
…ฉันก็ไม่เชื่อสายตาเช่นเดียวกัน

(๕)
เราพบกันอีกครั้ง ,ในเมืองหลวง
“เพื่อน” รุ่นน้องคนนั้น
เธอบ่นถึง ชีวิต หน้าที่ และการงาน
ฉันบ่นถึงความแปลกแยกกับเมืองหลวง
ถ้อยคำเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความแห้งแล้งของชีวิต

ดีใจ – ยังเห็นเธอมีพลัง มีประกายในดวงตา
เหมือนเช่นเคยเป็นมา

เย็นนั้น บนผืนหญ้าสนามหลวง
บทสนทนา เรียงร้อยจนพลบค่ำ
ขณะหนึ่ง ,หลังกระป๋องเบียร์ ฉันภาวนา
“เพื่อนของฉัน ,แม้เธอคุ้นเคยแล้วกับเมืองหลวง
แต่อย่าเฉยชากับชีวิต - - อย่ากลายเป็นคนเมืองเลย”

จบคำภาวนาด้วย เบียร์อึกสุดท้าย - -
ยิ้มตอบ
รอยยิ้ม และประกายตาเช่นเดิมของเธอ ,
เพื่อนของฉัน.


ป.ล.
ฮ่าๆ เอาของเก่ามาขายกิน ^^

เพียงแค่ระลึกถึงว่า...
ความรู้สึกเมื่อแรกรู้จักเมืองหลวงเช่นวันก่อน
ยังจะคงอยู่ หรือกลืนหายกลายอื่นไปแล้ว
เพียงเพื่อระลึกและทดสอบตนเองน่ะครับ
ไม่ได้ตั้งเกณฑ์เพื่อประเมินค่าอันใด

ป.ล. สอง
อะไรจะดีไปกว่าได้สนทนากับเพื่อนเก่าในใจเราล่ะครับ^^



Saturday, January 27, 2007

ความเขลา

ช่วงชีวิตมนุษย์ยาวนานประมาณแปดสิบปีโดยเฉลี่ย คนเรามัก
จินตนาการและจัดการชีวิตของตัวเองโดยยึดช่วงระยะเวลานั้นอยู่ในใจ สิ่งที่ผม
พูดถึงอยู่นี้ทุกคนทราบกันดี แต่เราแทบไม่เคยตระหนักเลยว่าจำนวนปีที่ชีวิตมอบ
ให้เราไม่ได้เป็นแค่ข้อเท็จจริงในเชิงปริมาณ ไม่ได้เป็นแค่รูปโฉมภายนอก (เหมือน
ความยาวของจมูกหรือสีของตา) แต่เป็นส่วนหนึ่งในคำนิยามของความเป็นมนุษย์
ทีเดียว คนที่สามารถมีชีวิตยืนยาวเป็นสองเท่า สมมติเช่นหนึ่งร้อยหกสิบปี โดยที่
ยังมีสมรรถนะครบถ้วนทุกด้าน ย่อมไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกับเรา ชีวิต
ของเขาย่อมไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตของเราเลย -ไม่ว่าความรัก ความทะเยอทะยาน
ความรู้สึก ความโหยหา ไม่มีเลย หากว่าหลังจากอยู่ต่างประเทศมายี่สิบปี
ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งหวนคืนสู่แผ่นดินเกิดโดยที่ยังมีเวลาในชีวิตอีกร้อยปีรออยู่ข้างหน้า
เขาย่อมรู้สึกถึง การหวนคืนอันยิ่งใหญ่ เพียงน้อยนิด สำหรับเขา มันอาจไม่ใช่การ
หวนคืนเลยก็ได้ แต่เป็นแค่เส้นทางเล็กๆ สายหนึ่งที่มีอยู่มากมายในการเดินทาง
อันยาวนานของชีวิต

ความหมายของบ้านเกิด ตลอดจนอิทธิพลที่มีต่ออารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด
ผูกอยู่กับช่วงชีวิตที่ค่อนข้างสั้นของเรานี่แหละ เพราะมันให้เวลาเราน้อยเกินไปที่
จะรู้สึกผูกพันกับถิ่นอื่น ประเทศอื่น ภาษาอื่น

ความสัมพันธ์ทางเพศอาจกินเวลาในชีวิตวัยผู้ใหญ่ทั้งหมด แต่ถ้าชีวิตยืน
ยาวกว่านี้ เป็นไปได้ไหมที่ความเบื่อหน่ายอาจดับไฟปรารถนาทางเพศให้มอด
ลงตั้งแต่สมรรถภาพทางร่างกายยังไม่เสื่อมถอยด้วยซ้ำ? เพราะมีความแตกต่าง
มหาศาลระหว่างการเสพสังวาสครั้งแรก ครั้งที่สิบ ครั้งที่ร้อย ครั้งที่พันหรือครั้ง
ที่หมื่น ตรงไหนคือเส้นแบ่งที่เมื่อก้าวข้ามไป ความซ้ำซากจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มี
อะไรใหม่อีกแล้ว ถ้าไม่ใช่น่าขันหรือแม้กระทั่งเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป? และทันที
ที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์เชิงกามารมณ์ระหว่าง
ผู้ชายกับผู้หญิง? มันจะหายไปไหม? หรือตรงกันข้าม คู่รักอาจเห็นว่าช่วงชีวิต
ทางเพศเป็นแค่ยุคสมัยเถื่อนก่อนประวัติศาสตร์ของความรักที่แท้จริง? การตอบคำถาม
เหล่านี้ง่ายดายพอๆ กับจินตนาการถึงจิตวิทยาของสิ่งมีชีวิตบนโลกที่เราไม่รู้จัก
ความหมายของความรัก (ความรักที่ยิ่งใหญ่ รักแท้ที่มีเพียงหนึ่งเดียว)
ก็น่าจะมาจากช่วงเวลาแคบๆ ที่ชีวิตให้เราเช่นกัน หากช่วงเวลานั้นไร้ขอบเขต
โจเซฟจะยังรู้สึกผูกพันอยู่กับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วหรือเปล่า? เราผู้ต้องตายอีกไม่
นานข้างหน้า เราไม่มีทางรู้หรอก
จากบทที่ ๓๔ หน้า ๙๘-๙๙
ความเขลา (IGNORANCE)
มิลาน คุนเดอรา เขียน
ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปล
ผมยังอ่าน ความเขลา ไม่จบ...
ในค่ำคืนวันเสาร์อาทิตย์เช่นนี้ ผมเสียเวลาไปกับการนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์
ให้กับ ปังและเจมส์ ต่อด้วยสารคดีที่ทำเอารู้สึกตัวเล็กลงมากๆ อย่าง ปฐพีชีวิต
อยากเขียนถึงเรื่องนี้ แต่เอาไว้ก่อนละกันนะครับ
ขอตัวไปสัมผัสโลกแอนตาร์กติกก่อนครับ

ป.ล.
กว่าผมจะเอาหน้าบล็อกนี้ขึ้นคงเป็นวันพรุ่งนี้แล้ว (๒๘ ม.ค.)
แต่หากคุณเปิดอ่านเมื่อไร
มันก็ปรากฏต่อหน้าคุณเมื่อนั้น
(แล้วจะบอกวันโพสต์ทำไมเนี่ย ^^)

Tuesday, January 16, 2007

อะไรกันเนี่ย? บล็อกลูกโซ่

น่านน่ะสิ ก็เลยไปตามหาอ่านตามที่มาเหล่านี้ซะเลย

"Blog Tag คืออะไร คือการที่ จขบ.ที่ได้รับ Tag
จะต้องเล่าเรื่องของตัวเองมา 5 ข้อ แล้วส่งต่อให้เพื่อนอีก 5 คน
มันคือ บล็อกลูกโซ่ หรือการแปะโป้งกันดีๆ นี่เอง
ผู้เริ่มคนแรกคือ Jeff Pulver
เขาเรียกมันว่า Blog-Tag: A Game for a Virtual Cocktail Party
ตอนนี้มันขยายวงมาให้บล็อกเกอร์เมืองไทยได้ร่วมค็อกเทลปาร์ตี้เสมือนจริงนี่กันแล้ว"

อ้างอิง จากบล็อกต้น (ที่มันขโมยเขามาอีกทีหนึ่ง - รู้สึกจะเหมือนในบล็อกคุณขามด้วยนะ^^)

"คุณ T ส่งBlog tag มาให้
ให้เขียนเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรา5เรื่องยากจังเลยนะเนี่ย
ปกติเป็นคนชอบพูด ชอบเล่า อยู่แล้ว เรื่องราวชีวิตอยู่แล้ว คนใกล้ตัวส่วนมากก็รู้อยู่แล้วล่ะ
เอาแบบที่คนรู้น้อยละกันเนอะ อายนะเนี่ย อิอิ"


อ้างอิง จากบล็อกน้องอุ๋ย

ซึ่งผมก็โดนสองคนข้างบนนั้นแหละครับ มา tag ซะ
ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรเลย ถ้าเขียนไม่จบในวันเดียวก็ขอโทษไว้ล่วงหน้านะครับ
เริ่มเลยดีกว่า...

๑. อืม ผมว่าผมบ้าการ์ตูนพอสมควรนะครับ

สมัยเด็กๆ เคยแอบอ่านการ์ตูนในที่มืดด้วยครับ
แม่ไม่ให้อ่าน ผมก็เลยแอบถือการ์ตูนไปอ่านในห้องเก็บของตอนพลบค่ำ
มารู้ตอนโตแล้วว่ามันจะทำให้สายตาเสีย เพราะต้องเพ่งมากขึ้น
อาจเพราะที่บ้านมีการ์ตูนให้อ่านมาตั้งแต่สมัยยังเป็นโดราเอม่อน
ของสนพ.ยอดธิดา มีการ์ตูนจำพวกรวมเล่มเป็นตอนๆ ในเล่มเดียวกันอย่างเรื่อง
ฮาโตริ คิวทาโร่ ปาร์แมน ผีน้อยไคบุซึ อิ๊กคิวซัง โดราเอม่อน อาซาริ อาราเล่
ยอดนักประดิษฐ์จิ๋ว และก็งานเขียนของฟูจิโกะ ฟูจิโอะทั้งหลาย
น่าจะเป็นพี่ชายของผม ซื้อมาไว้ในบ้าน วางไว้ตามมุมต่างๆ
ผมก็หยิบมาอ่านเสมอ
(บางเล่มยังเก็บไว้ได้จนวันนี้เลยครับ)

ผมเองมีการ์ตูนบางเรื่องที่เคยอ่านสมัยนั้น แล้วยังไม่จบ เพราะส่วนใหญ่
อย่างที่บอกว่าตัดมาลงเป็นตอนๆ โตขึ้นมาก็เลยชอบที่จะไปหาซื้อมาอ่าน
ถ้าหากว่าโอกาสพบเรื่องเหล่านั้น มีทั้ง เจ้าชายอภินิหาร
(เห็นวิบูลย์กิจนำมาพิมพ์ใหม่แล้ว) หรือการ์ตูนอุลตร้าแมน ไอ้มดแดงทั้งหลาย
เมื่อกลางปีที่ผ่านมาก็เพิ่งไปซื้อการ์ตูนตำรวจกาลเวลา และหุ่นอลเวงของ
ฟูจิโกะ ฟูจิโอะมาอ่านเหมือนกัน สนุกสนานดีที่เดียว

นอกจากการ์ตูนญี่ปุ่นที่กล่าวมาเล็กน้อยข้างต้นแล้ว
ผมก็โตมากับการ์ตูนไทยๆ อย่างขายหัวเราะ เบบี้ และหนูจ๋าด้วย
อ่านตั้งแต่สมัยยังเล่มใหญ่เล่มละ ๕ บาทถึง ๗ บาท ชอบมุขส่วนใหญ่
ของต้อม กับต่าย ชอบสมัยคุณวัฒนา (ตาโต, อาวัฒน์) เขียนการ์ตูนมุขเด็กๆ
ลงในเบบี้ แถมยังชอบอ่านคอลัมน์เชื่อหรือไม่? ที่ลงในเบบี้ด้วย

สมัยเด็กๆ นั้น ผมไม่ค่อยได้เล่นเกมส์เครื่องแฟมิคอมแบบเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน
อยากเล่นเหมือนกันนะครับ แต่ที่บ้านไม่มีก็เลยมีเรื่องที่พอจะคุยกับเพื่อนๆ ได้ด้วย
เรื่องการ์ตูนเนี่ยแหละครับ การ์ตูนบางเรื่องผมอ่านก่อนที่เพื่อนๆ คนอื่นจะสนใจ
อย่างทัช (TOUCH) มีสมัยหนึ่งนำมาฉายทางช่องห้า ผมเถียงกับเพื่อนๆ ทุกคนว่า
พระเอกของเรื่องคือ ทัชซึยะ ไม่ใช่คัทซึยะ แต่เพื่อนๆ ไม่มีใครเชื่อเลย
เพราะตอนต้นเรื่องนั้น คัทซึยะเก่งกว่าทุกอย่าง หน้าตาก็ดีกว่านิดๆ
ไม่มีใครเชื่อผมว่าต่อมาคัชซึยะจะตาย และทัชจะกลายมาเป็นพระเอก

สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในวัยเด็กอีกประการเกี่ยวกับการ์ตูน คือ
ขนมโดเรม่อน (ใครเคยกินบ้างเนี่ย?) ที่มักจะมีกิจกรรมให้เด็กๆ สะสม
สติ๊กเกอร์เพื่อแปะลงสมุดภาพให้ครบแล้วนำไปแลกของเล่น ของรางวัลน่ะครับ
มีอยู่สองปี (สองกิจกรรม) ที่ผมชอบมาก คือ การสะสมรูปการ์ตูนหุ่นยนต์
และสะสมรูปการ์ตูนหลายๆ เรื่องในเล่มเดียวกัน ผมชอบเล่มหลังนี้มาก
เพราะตอนใกล้หมดเวลาน่ะ เพื่อนคนที่สะสมนำไปแลกไม่ทัน
ผมจึงขอเล่มนี้มาเก็บไว้ดูเอง มันสวยมากเลยครับ ได้รู้จักการ์ตูนอีกหลายเรื่องด้วย
(อืม ไอ้ขนมโดเรม่อนที่ว่าน่ะครับ ผมไม่เคยซื้อกินเองเลย
สมัยเด็กๆ ไม่มีตังค์เหลือขนาดนั้น แต่จะได้กินทุกบ่อย ค่าที่เพื่อนคนที่มีเงิน
มันไม่สนใจขนมเลย ซื้อมาเพื่อสติ๊กเกอร์เท่านั้น - ซึ่งที่จริงก็ไม่ควรสนใจขนม
เพราะมันไม่อร่อยเลยน่ะครับ ^^)

เขียนไปเขียนมาชักยาว....
(พี่จ๋อยกับคุณขามก็มารอคอยซะงั้น^^)

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเสพการ์ตูนมากขึ้น
ประมาณสมัยป.ห้ากระมัง (ไม่แน่ใจ) ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่กรุงเทพฯ
จะต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้พวกพี่ๆ เขาพยายาม
กระจายของที่มีถึงใครต่อใคร ใจจริงๆ ผมอยากได้ของเล่นของพี่ๆ
มากกว่า จำพวกหุ่นยนต์ประกอบร่างต่างๆ
แต่ว่าสิ่งที่พี่เข้านำมาให้คือ ลังการ์ตูนสองลังใหญ่ๆ
เป็นการ์ตูนจำพวกรายสัปดาห์และรายเดือนที่ออกในช่วงเวลานั้น
ที่จำหัวหนังสือได้ก็จะมี weekly zero nova mounthy พวกนี้อ่ะครับ
ที่ทำให้ขอบเขตของโลกการ์ตูนของผมขยายออกไป
ได้รู้จักกับ ล่าอูสรกาย บารอน ข้าชื่อโคทาโร่ ก้าวแรกสู่สังเวียน
ดราก้อนบอล โจโจล่าข้ามศตวรรษ กายเวอร์ ไยบะ พริกขี้หนูสีรุ้ง
มาเอดะ สปรีแกน จิมมี่หมัดเหล็ก คุจากุ มาโอเทพฤทธิ์พิชิตมาร
และจำไม่ได้แล้วอีกหลายๆ เรื่อง

พอเริ่มอ่านการ์ตูนมากๆ เข้า ผมก็เริ่มลอกลายเส้นการ์ตูน
ที่ชื่นชอบ เขียนตาม วาดตาม วาดจนกระทั่งมีเส้นของตัวเอง
สมัย ม.ต้น เคยวาดการ์ตูนไปให้เพื่อนๆ อ่าน ขนาดที่ทำเป็นเล่ม
เหมือนพวกรายสัปดาห์ แต่ทั้งเล่มน่ะ ผมวาดอยู่คนเดียว
สมัยนั้นคิดพล็อตการ์ตูนจากการนำเรื่องนั้นมาผสมเรื่องนี้ปนกันไปหมด
(ไม่แน่ใจว่ายังเก็บไว้หรือเปล่า)

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังเคยไปทำงานในร้านหนังสือเช่า
นั่งอ่านการ์ตูนของที่ร้านไปซะทุกแนวเลย การ์ตูนตาหวานก็อ่าน
การ์ตูนโป๊ก็เคยผ่านตา การ์ตูนยาโออิก็เคยเปิดดู ยิ่งเวลาอยู่ร้าน
ใครมาบอกว่าเรื่องไหนสนุก มีโอกาสก็จะอ่านทุกที
การ์ตูนบางเรื่องช่วยสอนบางเรื่อง บางคติกับชีวิตด้วยซ้ำไป

ทุกวันนี้ผมก็ยังอ่านการ์ตูนอยู่สม่ำเสมอ
แม้ไม่ได้อ่านมากเหมือนสมัยเรียนป.ตรี
แต่ถ้ามีโอกาสผมก็จะไปเช่นหนังสือการ์ตูนในร้านอ่านตรงนั้นเลย
จ่ายเงินแล้วก็ขอนั่งอ่าน บางวันเช่นนั้นหมดไปหลายตังค์เหมือนกันเชียว
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผู้ใหญ่บางคนที่เขาไม่นิยมการ์ตูน
โดยเฉพาะสมัยนี้การ์ตูนในญี่ปุ่นสำหรับผมแล้ว
บางเรื่องเหมือนวรรณกรรมดีๆ เลยครับ

ผมเป็นแฟนการ์ตูนของ
เท็ตซึกะ โอซามุ (ฮิโนโทริ, แบล็กแจ็ค, สามตาปาฏิหาริย์ ฯลฯ)
อาดาจิ มิตซึรึ (ทัช, ราฟ, นายน์, พริกขี้หนูสีรุ้ง, เอชทู, ช็อตโปรแกรม ฯลฯ)
นาโอกิ อุราซาว่า (มอนสเตอร์, ยาวาระ, เด็กแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ, พลูโต)
มาซาฮิโตะ โซดะ (สิงห์นักปั่น, สิงห์ผจญเพลิง, ซึบารุ สู้เพื่อฝัน)
ทากาฮาชิ รูมิโกะ (รันม่า1/2, ลามู, เทพอสูรจิ้งจอกเงิน ฯลฯ)
ฟูจิตะ คาซุฮิโระ (ล่าอสูรกาย, หุ่นเชิดสังหาร ฯลฯ)
อาโอยาม่า โกโซ (ไยบะ, โคนัน, จอมโจรคิดส์ ฯลฯ)
มาโกโตะ อิชิกิ (ผีซ่าส์กับฮานาดะ, วัยกระเต๊าะ ตึ๊งตึงตึ่ง ฯลฯ)
ฯลฯ

แน่นอนไม่พลาดยุคสมัยของฟูจิโกะ ฟูจิโอะ และโทริยาม่า อากิร่าแน่ๆ ครับ
พอแล้วดีกว่า เขียนข้อแรกก็ยาวเหยียดซะแล้ว ^^

(ทุกวันนี้ผมยังตามซื้อฮิโนโทริ ,รถด่วนอวกาศ๙๙๙ ,
เด็กแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ และตามล่านักฆ่าแอนดรอย
ร่ำๆ ว่าจะซื้อbeck แต่รอให้จบแล้วรวมเล่มทีเดียวน่ะครับ)

๒. เด็กชายบ้านนอก สิ่งที่เพลิดเพลินที่สุดคือการวิ่งเล่นกับเพื่อนในสนาม
ผมเป็นคนชอบฟุตบอลครับ ^^

ผมเป็นเด็กที่โตไว สมัยอยู่ ป.สองก็สามารถเตะบอลกับเด็กป.สี่ได้แล้ว
มันเริ่มจากผมต้องไปโรงเรียนเช้า ทำให้ไม่มีอะไรทำออกมาเดินเล่นข้างสนาม
พวกรุ่นพี่ที่ไม่มีคู่มักจะชวนเป่ายิงฉุบ
แล้วแบ่งข้างลงเล่นบอลพลาสติกในสนามวอลเล่ย์

สมัยผมอยู่ม.ต้น พี่ชายก็ซื้อรองเท้า ซื้อลูกฟุตบอลหนัง
มาเล่นที่บ้าน แน่นอนครับ ผมไม่ได้เล่นเป็นคนเตะบอล
แต่เล่นเป็นผู้รักษาประตู คอยป้องกันลูกยิงของพี่ชายที่อัดเข้าใส่กำแพง

สมัยประถมฯ ฟุตบอลหนังไม่นิยม เพราะไม่มีสนามที่กว้างพอ
จนเมื่อได้ย้ายมาเรียนโรงเรียนสมัยมัธยมฯ
เพื่อนๆ จากหลากหลายตำบล อำเภอได้มาพบกัน
แม้ว่าช่วงสมัยผมอยู่ม.ต้น กีฬาบาสฯจะมาเบียดบังความนิยมไปบ้าง
แต่สำหรับเด็กผู้ชายแล้ว การวิ่งไล่กวดลูกกลม ๆ
กลางแดดแผดเผามันสนุกดีนะครับ

จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ณ สนามแอนด์ฝุ่น
พื้นสนามเป็นฝุ่นดินแห้งๆ ที่ฟุ้งกระจายขึ้นทุกครั้งที่เดิน-วิ่ง
เวลาสิบโมง-สิบเอ็ดโมง ถอดเสื้อบ้างใส่เสื้อบ้าง
เพื่อนบางคนวิ่งไล่ฟุตบอลจนตะคริวกิน ก็ยังไม่ยอมออกจากสนาม

สมัยม.ปลาย เลิกเรียนสามโมงกว่าๆ
แต่เกือบทุกวันกว่าจะได้กลับบ้านกันก็เกือบหกโมงเย็น
รองเท้าผุพังเร็วกว่ากำหนดในทุกภาคการศึกษา
เมื่อก่อนผมเคยมาสามารถเริงร่าบนสนามได้
ขนาดกระดกบอลและพลิกตัวกลับหนีกองหลัง
หรือส่งบอลด้วยส้นเท้าโดยไม่หันไปมอง แต่ก็เป็นเพียงอดีตรุ่งเรือง

ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ใส่แว่นตา แล้วห่างหายไปจาก
การวิ่งไล่ลูกกลมๆ บนสนามหญ้า นานวันเข้าร่างกายก็เพิ่มเนื้อหนัง
และไขมันหนาขึ้น ไม่อยากปะทะเพราะกลัวแว่นพัง
ก็เลยกลายเป็นไม่ได้เล่นไปเลย

ทุกวันนี้แม้ไม่ได้เล่นเอง ผมก็ยังโทรไปเล่น
(เอ๊ย! ตลกเชียว ไม่ได้เล่นพนันนะ)

จริงๆ คือ ถึงไม่ได้เล่นฟุตบอลเองแล้ว ผมก็ยังดูบอลอยู่
แม้ไม่ได้ตามดูถ่ายทอดสดทุกนัด แต่ก็ยังชอบดูรายการ
ประเภทสรุปข่าว และนำไฮไลท์มาให้ชมอยู่
นอกจากนั้นบางวันก็ยังซื้อหนังสือพิมพ์กีฬามาอ่าน
มีคนเคยถามว่าซื้อมาทำไม? เพราะไม่เห็นผมค่อยตามกีฬา
แบบคนที่บ้า (กว่าผม) บอลเขาทำกัน

ที่จริงคนรู้จักผมอาจไม่เรียกสิ่งที่ผมทำว่าบ้าบอลหรอกครับ
เพราะมันดูบางเบาเมื่อเทียบกับคนที่คลั่งไคล้กว่า
(อย่างเพื่อนผมเมื่อวันก่อนยังออกไปเชียร์บอลไทยถึงขอบสนามเชียว)
ก็อย่างที่บอก มันอาจไม่ได้เป็นส่วนสำคัญมากในชีวิตผมหรอกครับ
แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบ นอกจากหนังสือ เพลง หนัง
และกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต

เล่าเท่านี้แหละ
(เนี่ยเลือกเรื่องที่คนไม่ค่อยคิดว่าเป็นแล้วนะเนี่ย ^^)

๓. ผมเป็นเด็กใฝ่รู้

หรือจะบอกว่า ซน ก็ได้นะครับ
(อืม เรื่องต่อไปนี้อย่าไปเล่าให้คนที่บ้านผมฟังนะ เพราะยังไม่มีใครรู้เลย)
จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกว่าปลั๊กไฟที่บ้านไม่มากพอ
และตอนนั้นเริ่มรู้จักปลั๊กสามตาแล้ว จินตนาการบรรเจิดจึงลงตัว
ผมมองหาสิ่งที่จะนำมาทำเป็นปลั๊กที่ดีกว่าปลั๊กสามตาขึ้นมาได้
แฮ่ม! โรลม้วนผมครับ
จำได้ติดตาเลยว่า เป็นโรลม้วนผมสีฟ้าของแม่
อ้าว ก็มันมีช่องว่างให้สามารถเสียบปลั๊กได้เยอะขนาดนั้น
ถ้าเสียบต่อไฟบ้านแบบปลั๊กสามตา ผมก็จะมีที่เสียบปลั๊กไฟเยอะเชียว
ว่าแล้วก็นำโรลมวลผมมาประกอบเข้ากับกิ๊บติดผม...
ครับ กิ๊บติดผมซี่เล็กๆ สีดำทำจากโลหะ นั่นแหละครับ
เพื่อที่จะใช้เป็นที่เสียบเข้าไปในช่องปลั๊กของไฟบ้าน

ตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น

ชั่วขณะที่ผมค่อยๆ เสียบกิ๊บติดผมเข้าไปในเต้าเสียบ
ประกายไฟสว่างแวบลามออกมาเป็นทางยาว
แล้วไฟทั่วบ้านก็ดับวูบ บ้านอยู่ในความมืด
ผมตกใจนอนอยู่ใต้เตียงไม่ได้ขยับไปไหน
จนเมื่อพ่อกับพี่ชายไปต่อฟิวส์แล้ว ไฟสว่าง...

กิ๊บติดผมหลอมละลายไปกว่าครึ่ง
โชคดีที่ผมใช้มือจับบริเวณโรลม้วนผม
ทำให้ไม่ตายไปเสียก่อน
(ไม่รู้ถือเป็นโชคดีไหมเนี่ย)

ปฏิบัติการผลิตปลั๊กสิบกว่าตาจึงเลิกล้มไป...

มีอีกครั้งหนึ่งที่ผมพยายามศึกษากายวิภาคสัตว์
เพราะผมไปเก็บซากจิ้งเหลนมา หมายมั่นว่าจะผ่าออกดูภายใน
แต่อุปกรณ์ขณะนั้นมีเพียง ไม้เสียบลูกชิ้นและไม้เสียบลูกชิ้น
และเพราะปลุกปล้ำอยู่นานไม่ได้ดังใจ จึงเลิกล้มความตั้งใจ
นำไปฝัง แล้วมองหาอย่างอื่นเล่นต่อไป
กิจกรรมวิชาชีววิทยาจึงเลิกไป

พอแล้วดีกว่า ยิ่งเล่ายิ่งอาย...

๔. ผมเคยตกรถสองแถว สไตล์เฉินหลงด้วย ^^

แม้จะไม่ใช่สมัยเด็กๆ แล้ว แต่ว่าผมก็ยังใฝ่รู้อยู่ดี
เรื่องเกิดขึ้นสมัยอยู่ม.ปลายแล้วล่ะครับ
(ไม่เล่ายาวล่ะ ขี้เกียจ....^^)

ผมเล่นกับเพื่อนอยู่ที่ท้ายรถสองแถว
แกล้งลงรถเพื่อหนีมุขตลกฝืดๆ ของเพื่อน
แต่รถกำลังจะออกตัว ผมเลยต้องรีบตะกายขึ้นไปตำแหน่งเดิม
มือเอื้อมคว้าไปจะจับราวด้านบนของท้ายรถ
รถก็กระชากตัวหนีออกไป...

ผมร่วงลงไปช้า (ภาพในหัวผมตอนนั้นน่ะครับ)
จังหวะก่อนที่จะหลุดออกจากตัวรถ
ผมก็คว้าเอาบันไดที่เพื่อนๆ ยืนกันอยู่ตรงท้ายรถได้
แล้วจากนั้นรถสองแถวก็ลากผมเป็นทางยาว
ไปประมาณร้อยถึงสองร้อยเมตร
ผมก้มหน้ามองพื้นถนนที่ไหลผ่านใต้ท้องไปตลอดทาง
ได้ยินเสียงรถคันข้างหลังบีบแตรใส่ และเสียงคนร้องหวีดว้าย

ขาผมส่ายไปมา
โชคดีที่ส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนมีเพียง
รองเท้าเท่านั้น...

หลังรถหยุด สิ่งที่ติดมาคือรองเท้าผ้าใบผมขาด
ผิดจากตำแหน่งของคนอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่จะขาดกัน
ตรงนิ้วก้อยเพราะการเตะบอล แต่ของผมน่ะนิ้วโป้งเท้าเลย
กับอีกเรื่องหนึ่งที่ติดมา คือ เอ่อ... โคตรอายเลย

ผมทำได้เพียงยิ้มแหยๆ กับเพื่อนๆ และเด็กรุ่นน้องบนรถ
แล้วหันหลังนั่งลงตรงบันไดท้ายรถนั่นแหละไปจนถึงท่ารถเลย
เฮ้อ....^^

๕. สามปีมาแล้วที่น้ำหนักตัวไม่ได้ต่ำกว่าเลขสามหลักเลย
เฮ้อ...ไม่เล่า !
ไม่ต้องมาเว้าวอน ไม่เล่า
ของอย่างนี้ไม่ต้องเล่า เห็นเองกับตาก็เชื่อ ^^

พอล่ะ เหนื่อยจริงๆ ไอ้ blog tag เนี่ย


ที่จริงอยากเขียนถึงเรื่องพวกนี้ดีๆ ยาวๆ แต่ว่าในเงื่อนไขเท่านี้
ก็เขียนแค่นี้ไปก่อนล่ะกันนะ แค่บางด้านของชีวิตแหละครับ
อยากรู้จักกันต้องเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ครับ ฮ่าๆ ^^

อ่ะ ตามธรรมเนียม ส่งต่อใครต่อใครกันดีกว่าครับ
แฮ่ม!....
๑. คุณพี่ thejOylUckclUbอินeXteen เลยล่ะกันครับ
๒. คุณ พี่บีม อ่ะ...ไม่เห็นเขียนไรเลย มาเขียนซะดีๆ
๓. คุณ พี่บอล เอ่อ...ผมรู้ว่าพี่มีเรื่องเล่าเยอะ
๔. คุณ ไอ้โต รู้ว่าเมิงไม่ค่อยได้เข้าเน็ต (หาทางทำหมันบล็อกแท็กซะงั้น)
๕. คุณ มิ้ม (นี่ก็รู้ว่า ไม่ตอบ ทำหมันบล็อกแท็กอีกหนึ่ง ฮ่าๆ)

โอ๊ย... เสร็จสิ้นภารกิจเสียที
ขอบพระคุณที่ติดตามชม ตามอ่านครับ
แล้วพบกัน




^_^

Tuesday, January 02, 2007

สวัสดีปีใหม่

"ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่
ขอมอบใจแด่ที่รักด้วยศักดิ์ศรี
ขอให้คุณสุขสันต์ชั่วพันปี
ให้มั่งมีสินทรัพย์นับอนันต์"

กลอนข้างบนผมจำมาจากหลังรูปถ่าย
สมัยสาวๆ ของน้า มีชายหนุ่มคนหนึ่งส่งมาให้

ขึ้นปีใหม่แล้วก็นึกขึ้นมาได้
เท่านี้แหละครับ



ป.ล.
เปลี่ยนเพลงแล้วเป็น woman ของ Lennon ดีกว่า ^^