the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Saturday, May 24, 2008

ชีวิตใหม่ (24 พฤษภาคม 2551)

*เขาว่า..งูลอกคราบได้หลายครั้งแต่เปลี่ยนนิสัยไม่ได้ตรงข้ามกับคนที่ปรับตนเอง-ทั้งบทบาท-ลีลา-มีชีวิตใหม่ได้ตลอดเวลา

*ลูกเอย.....ชีวิตจริงบางส่วนอาจคล้ายคลึงละครชีวิตที่เคยอ่านจากหนังสือ......เคยดูจากหนังจากทีวีและซี.ดี.ในยุคปัจจุบัน หากแต่ต่างกันตรงที่ว่าละคร เกิดจากการประพันธ์-ตกแต่งบท กำหนดขึ้น ให้คนอื่นอ่านให้คนอื่นแสดงไปตามบทตามเนื้อเรื่องให้คนดูคนอ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามไปในเรื่องนั้นๆ จึงมีทั้งเรื่องจริงไม่จริงคละเคล้าปนเปกันไป...คนที่เข้าใจในคนเท่านั้นที่จะสามารถปลุกอารมณ์คนอื่นให้ตื่นได้...ก็อ่านรู้ดูสนุกกันเป็นเรื่องๆไปก็เท่านั้น....การจะเป็นนักคิดนักเขียนที่ดี นอกจากสั่งสมประสบการณ์จากการอ่าน-รู้-ดู-ฟังแล้ว ยังต้องสั่งสมเรื่องราวในชีวิตจริงอีกมากมายทั้งตนเองและอารมณ์ของผู้คนรอบข้างอีกมากมาย....ผู้คนที่ประสบความสำเร็จเรื่องนี้มักเจนจบกระบวนยุทธในศาสตร์ด้านมนุษย์โดยแท้

*ในชีวิตจริง...ที่ว่าเสมือนละครโรงใหญ่นั้น...ที่แท้....ไม่มีบท-เนื้อหา-สาระใดที่ใคร-ผู้ประพันธ์คนใดจะบังอาจมากำหนดกฎเกณฑ์-เขียนบทให้ท่องให้เล่นตามอารมณ์ที่เขาปรารถนาได้......ทุกคนต้องคิดเอง-เขียนเอง-เล่นเอง-กำกับเองให้เป็นไปตามบทบาทลีลาแห่งความเป็นจริง....ในชีวิตจริงของบางคนจึงค่อนข้างโหด-โลดโผน-โจนทะยาน-ตื่นเต้นเหมือนแล่นอยู่บนเส้นด้ายเล็กๆตลอดเวลา...หากไม่ระวังก็ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงทั้งหญิงทั้งชายกับอันตรายที่มีอยู่รอบด้านในทุกสภาพสังคมฯ

*แล้ววันเวลาที่ลูกรอคอยมันก็มาถึง....คือการจบการศึกษาและการได้งานทำ....แล้วลูกอาจพบคำตอบอีกมากมายในชีวิตใหม่จงก้าวเดินด้วยตนเองต่อไปด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง-มั่นคง.....ยิ้มสู้.....อย่าท้อแท้-เบื่อหน่ายโดยเด็ดขาด....นี่เพิ่งจะเริ่มต้นในยกแรกของชีวิตเท่านั้น..เมื่อเกิดอาการเหนื่อย-จงพัก-อย่านำตนเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่สูงกว่าสบายกว่าแต่จงมองลงไปเบื้องล่าง-ในจุดที่ต่ำกว่าจะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีผู้คนอีกมากมายที่ด้อยกว่าแย่กว่ายังสับสนวุ่นวายมากกว่าแย่กว่าในวงจรชีวิตที่ลำบากยากเข็ญยิ่งกว่าอีกมากมาย....แล้วเราก็จะเกิดพลังกายพลังใจที่จักยืนหยัดยิ้มสู้กับสังคมมนุษย์นี้ต่อไปได้…

*ขอให้...รักมหา’ลัยเหมือนบ้าน-รักงานเหมือนชีวิต-รักศิษย์เหมือนลูก..การเทียวไปมาทำงานในระยะเริ่มแรก...ก็อาจสนุกกับการพบผู้คนบนรถไฟรถยนต์ที่หลากหลายชีวิตเพราะวงจรฯของเราเพิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลง....คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวเองอีกนาน....จากที่เคยกินอิ่มนอนอุ่น....กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย-อยากกิน-ไป-เรียน-นั่ง-นอน-ตอนไหน-เวลาไหน-ใครไม่เคยว่า-ชีวิตลิขิตเอง-แต่นี้ไปสิ่งที่เคยตามใจตัวเองได้ตลอดมานั้น...กำลังค่อยๆเสื่อมสลาย-ค่อยเจือจางละลายหายไปๆ...

*ชีวิตใหม่...จักทำให้ลูกต้องเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง....สัญญาณปลุกจากนาฬิกาจักจำเป็นมากขึ้น ค่ำต้องเข้าเช้าต้องออก เสมือนนกน้อยที่ต้องพึ่งพาตนเอง...ดุจเสือที่สู้ทุกท่า-ม้าที่สู้ทุกที่ ...ต้องไปก่อนกามาก่อนไก่....กฎเกณฑ์ใหม่ๆแห่งชีวิตจริงมันค่อยๆเริ่มเข้ามามีบทบาทบีบรัด-บังคับให้เราปรับตัว-ก็ดีนะไขมันที่สะสมไว้มายาวนานจะได้ถูกนำมาใช้ให้มากยิ่งขึ้น

*ดูชีวิตคนอื่น-ดูหนังฟังเพลงดูละครแล้วย้อนมาดูตัวเราบ้าง....บางทีก็ได้แง่คิดที่ดีงาม...เพราะผู้อื่น-ผู้ประพันธ์ที่ดีเขามักสอดแทรกคติธรรมแง่คิดไว้เสมอ....บางทีก็ต้องติดตามไปเก็บแนวคิดจากเขามาแก้ไขปรับปรุงพัฒนาชีวิตเราให้มันดีขึ้น.....หนทางที่ต้องก้าวเดินนั้นยังอีกยาวไกลยิ่งนัก...มิได้โรยด้วยกลิ่นกุหลาบที่สวยงามหอมหวลให้ชวนเดินตลอดเส้นทาง...แต่บางเส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหาต่างๆมากมายหลายหลาก....ยิ่งมากกว่าในละครชีวิตที่มีผู้คนลิขิตขึ้น...เราต้องพร้อมที่จะเรียนรู้-ต่อสู้มัน-เท่าทันมันตลอดเวลา...ใช้สติปัญญาอันเป็นมรดกที่ล้ำค่าที่มีอยู่ให้คุ้ม-ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเป็นไหนๆ

*กับชีวิตใหม่-การที่ได้เขียนบทเองเล่นเองกำกับเองนี่มันก็น่าจะดีนะ-ย่อมสุข-สนุกไปกับบทบาทลีลาที่เราใฝ่หามาช้านาน..แต่มันคงต้องอยู่ในขอบเขตฯ เพราะชีวิตหนึ่ง-ยังคงต้องเกี่ยวข้องผูกพันกับอีกหลายชีวิตมากมาย....ด้วยที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไม่อาจโดดเดี่ยวตัวเองได้....ต้องรู้ที่จะคิด-วางแผน-กำหนดขอบเขตของตนให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตของแต่ละคน-บางครั้งเราอาจต้องลดภาระจากสังคมหนึ่งเพื่อไปสู่อีกสังคมหนึ่งที่ใหม่กว่าจำเป็นกว่าอาจดีกว่าที่เคยๆเราก็จำเจมานานก็ได้อย่างสังคมแพร่พันธ์มัลติฯ...นี่ก็สำคัญนะ...ทำให้ได้เรียนรู้จิตตัวเองจิตคนอื่นว่าคิดกันยังไง-มันก็ดี-แต่ต่อไปก็คงมีเวลาให้มันน้อยลงไปแล้วล่ะเพราะงานที่เข้ามา-งานคือชีวิต นะพยายามท่องคาถานี้ไว้เถิดโยม ย.ว.ท. ยิ้มไหว้ทักทาย..งานจักดีเอง

*พ่อกับแม่นั้น...ผ่านเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลมามาก....ต่างก็รู้สึกเมื่อยล้าควรแก่การพักผ่อน-บางคราวนึกว่าคนอื่นคงไม่ค่อยสนุกกับเรื่องราวของเราแล้ว...ซึ่งเราก็ไม่สนเค้าอยู่แล้ว-แต่ก็คงต้องเดินบนเส้นทางที่เราลิขิตขึ้นต่อไป...ขอเพียงให้ชีวิตมีคุณค่าต่อลูก-มีสุขตามอัตภาพก็เกินพอแล้ว...ดูๆไปเหมือนคนเห็นแก่ตัวนะ...แต่ก็เพื่อความอยู่รอด....จึ่งพ้นจากอุปสรรคนานามาถึงฝั่งวันนี้ได้....บัดนี้...ช่วงชีวิตเก่าๆนั่นเริ่มเป็นอดีต... ทว่า:งาน-ชีวิตใหม่ของลูกกำลังเริ่มขึ้น...ก็ขอเป็นกำลังใจให้ลูกประสบผลสำเร็จในทุกเส้นทางที่ย่างเท้าก้าวเดินไป....เปี่ยมด้วยพลังกาย-พลังจิตที่เข้มแข็ง-มีสุขกับชีวิตใหม่-นะลูกนะ

----

วันนี้วันคล้ายวันเกิดแม่ครับ
ขอบคุณนะครับ พ่อและแม่

TT-TT

Thursday, May 22, 2008

ข้าวเหนียวปิ้ง

วันนี้ออกไปข้างนอกมา
ขากลับเดินเข้าที่พัก
พบรถเข็นขายข้าวเหนียวปิ้งกลิ่นหอม
ผ่านทางมา

ที่จริงก็พบร้านรถเข็นเช่นนี้อยู่ทั่วไป
โดยเฉพาะข้างถนนในเยาวราชที่ผ่านทาง
แต่ชั่วระยะที่กลิ่นหอมปะทะและความทรงจำโลดแล่น
เป็นเพียงเสี้ยววินาทีไม่นานนัก

เดี๋ยวข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วยและเผือก
ขายกันชิ้นละ 5 บาทแล้ว
เข้าใจว่าตอนเด็กๆ ถูกกว่านี้มาก
(ก็แน่ล่ะ = =")

ตอนเด็กๆ ผมชอบกินข้าวเหนียวปิ้งมาก
อาจเพราะชอบกินข้าวเหนียวอยู่แล้วด้วย
รู้สึกสนุกสนานดี ไม่เหมือนกินข้าวจริงๆ
ไส้กล้วยเป็นของโปรด เพราะมันหวานๆ
ส่วนกล้วยถั่วดำ หรือเผือก หรือมันก็ยกให้คนอื่นไป

ใบตองรมแรงควันถ่าน
ข้าวเหนียวกะทิส่งกลิ่นขยายตัวสู่มวลอากาศ
ความร้อนในอุ้งมือ จนต้องโยนสลับไปมา
ดึงไม้กลัดที่ห้วออก คลี่ใบตองที่แห้งกรอบ
เพื่อพบกรุ่นกลิ่นความร้อนตรงหน้า
คลับคล้ายคลับคลาว่า
หัวข้าวเหนียวปิ้งจะยื่นๆ ออกไปตามทรงของใบตอง
ส่วนนั้นจะแห้งกรอบ หรืออาจไหม้ในบางที
ผมเละเล็ม ก่อนขบกัดความร้อนในเนื้อข้าวเหนียว

ในวงเพื่อน
บางคนกัดคำโตแล้วคลายออกทันที
เสียงหัวเราะอยู่ในทรงจำเกี่ยวกับข้าวเหนียวปิ้งด้วย

แม้ว่าจะมีขายอยู่ตามท้องถนน
เข็นผ่านความร้อน เผชิญหน้ากับการส่ายหน้าของผู้คน
ร้านข้าวเหนียวปิ้งก็ยังเยอะไป

แต่...
ผมคิดถึงขึ้นมาเท่านั้นเอง