the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Sunday, July 30, 2006

เวลา

คำถามปริศนาในวงการวิทยาศาสตร์ประการหนึ่งคือ
เวลามีอยู่จริงหรือไม่?
การที่เรารู้จักเวลาเพราะการกำหนดขึ้นมาของมนุษย์หรือเปล่า
หากไม่มีมนุษย์สิ่งที่เรีบกว่าเวลายังถูกเรียกขานและแสดงการดำรงอยู่ไหม
แน่นอนในเมื่อยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนนัก
ทุกคนยังถือว่าเวลามีอยู่จริง เพราะหากไม่มีเวลาสมมุตินี้
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลากหลายทฤษฎีคงถึงคราวปิดตัวเองลงไป...

บางครั้งเวลาก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง
หน้าที่ที่จะเดินทางเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าเสมอจากต้นจนจบ
แต่แนวคิดทางตะวันออกเวลาไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง
หากแต่มันคือ วงจร คือ วัฏจักร เวลาที่เดินทางเป็นวงกลม

บางครั้งเวลาก็ถูกบีบรัดและแปรเปลี่ยนคามปัจจัยของสถานที่และแรงกระทำ
บริเวณปากหลุมดำนั้น แสงเดินเข้าไปแล้วคล้ายหยุดนิ่งเนิ่นนาน
การ์ตูนวิทยาศาสตร์เรื่องหนึ่งเขียนถึงการหายไปในหลุมดำก่อนหน้าเกือบยี่สิบปี
แต่ตัวละครอีกคนตัดสินเดินทางไปตายที่หลุมดำเดียวกัน
กลับสามารถพบหน้าของคนที่หลุดเข้าไปในหลุมดำก่อนหน้าเกือบยี่สิบปีได้
เวลาหนึ่งนาทีบนปากหลุมดำนั้น ยาวนานเกินกว่ายี่สิบปีของมนุษย์ทั่วไป

ไอน์สไตน์คงลำบากใจหากไม่มีเวลาสัมพัทธ์มาเกี่ยวข้องกัน
ทฤษฏีสัมพัทธภาพอันยิ่งใหญ่คงไม่สามารถเปล่งอานุภาพได้ขนาดนี้
แล้วไตรลักษณ์ของพุทธองค์ล่ะ
...ฯลฯ...

ยามที่เขียนถึงสิ่งนามธรรมต่างๆ
ใครจะสามารถให้ข้อสรุปชัดเจนได้
ผมเขียนมันด้วยความรู้สึกปรารถนาบ่นถึงเท่านี้น

สุดท้าย, เวลาอาจเป็นสิ่งสมมุตินามของมนุษย์เท่านั้น
แม้ว่ามันจะมีตัวจริงอยู่รายรอบเราเสมอก็ตาม
อยู่ที่เราจะเรียกขานมันด้วยนามใด...

ป.ล.
กระนั้นเวลาก็ยังเป็นสิ่งที่มนุษย์อยู่กับมันมากที่สุด
ไทม์แมชชีน ของ เอช.จี.เวลล์
แสดงถึงความปรารถนาข้องเกี่ยวและเปลี่ยนแปลงมันเสมอ
เวลา ของ ชาติ กอบจิตติตั้งคำถามกับชีวิตความแก่ชรา สารัตถะในชีวิต
แม่น้ำรำลึก ของ เรวัตร ฯ มองย้อนไปในคืนวันที่ผ่านเลย...
วรรณกรรมอีกมากมายที่ใช้และตั้งคำถามในเรื่องเหล่านี้
อาจเพราะมันคือชีวิตของเรานั่นเอง

ป.ล.สอง
"เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เราละเลียดใช้ไปกับความสุข"
อย่างน้อยเราก็หายใจเอาช่วงเวลานั้นไปแล้วนะ
มันคงไหลวนในตัวเราตลอดไปแหละ (^^)

Monday, July 24, 2006

HELEN The Baby Fox

เมื่อวานนี้ไปดูหนังกับพี่จ๋อยที่สยาม
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเดินซื้อหมึกมาเติมเครื่องพิมพ์ที่พันธ์ทิพ
แล้วแวะไป sweet sin ตามภาระ เอ๊ย! ภาวะปกติในแต่ละวันเท่านั้น
แต่โทรหาพี่จ๋อยแล้วพบว่าจะหนีไปดูหนังเศร้าคนเดียว - เรื่อง เฮเลนฯ นี่ล่ะ
(ใครเคยดูโปรแกรมล่วงหน้าก็จะรู้ว่า เขาโฆษณาไว้ด้วยคำว่า
หนังสำหรับผู้มีหัวใจที่อยากจะร้องไห้โดยไม่เสียดาย อืม คิดว่าทำนองนี้นะ ^^)

เมื่อวานเลยเป็นวันดีๆ อีกหนึ่งวัน
แม้ก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋รสเผ็ดมากแบบแสบภูธรจะทำให้มื้อกลางวันแสบไส้
แต่การได้ไปยืนอยู่หน้าโรงหนังแล้วเห็นว่ามีครอบครัวหลายครอบครัว
เอ่อ ที่น่าจะเป็นชาวญี่ปุ่น (จากการสังเกตด้วยสายตาอันคมกล้าของพี่จ๋อย)
ผมรู้สึกดี รู้สึกดีที่วัฒนธรรมของเขาครอบครัวพาลูกๆ มาดูหนังประเภทนี้ด้วยกัน

เรื่องของลูกสุนัขจิ้งจอกที่พิการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน
แถมมีอาการเลือดคั่งในสมองกับเด็กชายที่เขียนเรียงความเกี่ยวกับแม่ที่เป็นช่างภาพ เขียนถึงปลานักคำนวน ทะเลฤดูร้อนที่เหมือนของกิน
เรียงความที่มาจากภาพถ่ายของแม่
แน่นอน การเขียนเรียงความเช่นนั้นทำให้เพื่อนร่วมชั้นหัวเราะเยาะ
ไทชิ ต้องมาอยู่กับครอบครัวของสัตวแพทย์และลูกสาวแปลกหน้า
ที่ดำรงชีวิตด้วยการรับเลี้ยงหมาพันธุ์ลาบาดอชื่อรอสซี่
ขณะที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลสัตว์ป่าที่บาดเจ็บและล้มป่วย...

ผมชอบหนังเรื่องนี้ น้ำตาหยดตั้งแต่ต้นเรื่องเลยสิ
(ตั้งใจจะสบถว่า แย่จริง! แต่คิดอีกที มันไม่แย่นี่ครับ)
การที่ต้องจากแม่ที่เดินทางไปทำตามความต้องการของตัวเอง
แม่ที่มีความเชื่อว่า ความสุขของตัวเองคือความสุขของคนรอบข้าง
ไทชิ อยู่ในบ้านกลางป่าของสัตวแพทย์
หนังทำให้เห็นความไม่มั่นใจและไม่มีความสุขที่จะอยู่ด้วยในตอนต้นเรื่อง
ไม่ว่าจากการไม่อยากกลับบ้าน ความรู้สึกหวาดกลัวระหว่างการเดินทางเข้าบ้าน
(เห็นคุณยายระหว่างทางเป็นแม่มดเสียด้วย)

จนกระทั่ง ไทชิ ได้พบกับลูกสุนัขจิ้งจอกบริเวณริมถนน
โลกของความเปลี่ยวเหงามาบรรจบกัน ไทชิคิดถึงแม่ สุนัขจิ้งจอกเองก็อาจเช่นกัน
พวกเขาหลายเป็นเพื่อนกัน สุนัขจิ้งจอกน้อยป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษา
จึงต้องกลับไปที่บ้านของสัตวแพทย์ แล้วเรื่องราวมากมายในสามสัปดาห์ก็ตามมา
ผมอยากจะเขียนเล่าทั้งหมด
แต่ว่าเกรงใจคนที่ยังไม่ได้ดูและปรารถนาจะรับรู้ด้วยตัวเอง

ผมชอบหลายอย่างในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความน่ารักของรอสซี่
ไทชิที่กลายเป็นซัลลิแวนน้อยของสุนัขจิ้งจอกชื่อเฮเลน
หรือตอนที่โก-สัตวแพทย์เอ่ยชื่อของซัลลิแวนและเฮเลนออกมา
ทำให้ไทชิไปค้นหาชื่อและการกระทำของเรื่องเหล่านั้น
จากหนังสือที่ห้องสมุดของโรงเรียน
ผมชอบที่ห้องสมุดของเขามีหนังสือประเภทต่างๆ มากมาย
และแถมยังเป็นการ์ตูนที่เด็กอ่านได้ง่าย
ชอบเพื่อนๆ ของไทชิที่สอนเล่นสเก็ตบอร์ด และช่วยแบบพูดเปรยให้รู้ ^^
ระหว่างดูหนัง ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กในโรงด้วย
รู้สึกว่าสารในหนังสามารถเดินทางไปถึงพวกเขาได้
ชอบตอนที่โกอธิบายเรื่องภาษาญี่ปุ่นในคำว่า
"ความสุข" และ "ความทรมาน"

ในเรื่องนั้นตัวละครลูกสาวของโกเองก็มีปมเรื่องครอบครัว
ผมไม่รู้สิครับ แต่รู้สึกว่าหนังมันพูดถึงเรื่องของครอบครัวมาก
ไทชิเป็นเสมือนแม่ของเฮเลน การกลับมาของแม่ของไทชิ
รวมไปถึงประโยคที่บอกกับพี่จ๋อยตอนดูหนังจบแล้ว
ว่า "เรายัง (มีโอกาส) เป็นพ่อแม่ที่ดีได้นะ"
ชอบครับ^^

รู้สึกอิจฉานิดๆ ตรงที่มีหนังอย่างนี้ให้เด็กญี่ปุ่นเติบโตมาได้
ร้องไห้จนสะอื้นเชียวล่ะ แต่รู้สึกดีที่นานๆ ได้ดูหนังแบบนี้บ้าง
หัวเราะก็มี ร้องไห้ก็เพราะความรู้สึกในใจเราแทนค่าจากการรับรู้

การได้จับมือใครคนนั้นแล้วบอกว่า เรายังเป็นพ่อแม่ที่ดีได้นะ
เฮ้อ..(ถอนหายใจติดกันห้าครั้ง)...
มันคงดีจริงๆ เลยนะ ^^

ป.ล.
ผมเคยมีโอกาสเห็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายไปต่อหน้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ความรู้สึกรักและผูกพันทำให้เราเสียใจและโศกเศร้าเมื่อถึงวันจากลากันเพียงนั้น
แต่เราควรหยุดและกีดกันมันไว้ เพราะความเสียใจในวันข้างหน้าหรอกหรือ?
ผมมีความสุขกับวันทุกวันมาก และปรารถนาจะทำให้ดีพอในทุกวันด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม รบกวนด้วยนะ เพราะเราต้องช่วยกันอ่ะ ^^

Friday, July 21, 2006

Pourquoi notre coeur fait tic-tac?

If ever you got rain in your heart,
someone has hurt you, and torn you apart,
am I unwise to open up your eyes to love me?

And let it be like they said it would be -
me loving you girl, and you loving me.
Am I unwise to open up your eyes to love me?

Run to me whenever you're lonely. (to love me)
Run to me if you need a shoulder
Now and then, you need someone older,
so darling, you run to me.

And when you're out in the cold,
no one beside you, and no one to hold,
am I unwise to open up your eyes to love me?

And when you've got nothing to lose,
nothing to pay for, nothing to choose,
am I unwise to open up your eyes to love me

Run to me whenever you're lonely. (to love me)
Run to me if you need a shoulder
Now and then you need someone older,
so darling, you run to me.

Run to Me (Bee Gees)
***************

ป.ล.
เขาว่าตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เช้านี้ก็เลยเชื่อพี่บีมซะงั้น
"เล่นง่ายผิดตรงหน๊ายยยยย"

ป.ล.สอง
วันนี้ภาคสามภาษาเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆ

Monday, July 17, 2006

เมื่อฉันข้ามถนน




































ฉันมองทางซ้าย
แล้วมองทางขวา
ก่อนที่จะก้าวขาข้ามถนน
ไม่มีรถทางซ้าย
ไม่มีรถทางขวา
ฉันเลยคิดว่า...
ปลอดภัย
...
















In a little while from now,
If I'm not feeling any less sour
I promised myself to treat myself
And visit a nearby tower,
And climbing to the top,
Will throw myself off
In an effort to make it clear to who
Ever what it's like when your shattered
Left standing in the lurch, at a church
Where people 're saying,
"My God that's tough, she stood him up!
No point in us remaining.
May as well go home."
As I did on my own,
Alone again, naturally

To think that only yesterday,
I was cheerful, bright and gay,
Looking forward to, but who wouldn't do,
The role I was about to play
But as if to knock me down,
Reality came around
And without so much as a mere touch,
Cut me into little pieces
Leaving me to doubt,
All about God and His mercy
For if He really does exist
Why did He desert me
In my hour of need?
I truly am indeed,
Alone again, naturally

It seems to me that
There are more hearts
Broken in the world
That can't be mended
Left unattended
What do we do? What do we do?

(instrumental break)

Now looking back over the years,
And what ever else that appears
I remember I cried when my father died
Never wishing to have cried the tears
And at sixty-five years old,
My mother, God rest her soul,
Couldn't understand, why the only man
She had ever loved had been taken
Leaving her to start with a heart So badly broken
Despite encouragement from me
No words were ever spoken
And when she passed away
I cried and cried all day
Alone again, naturally
Alone again, naturally


*****************************










ป.ล. 1
รูปภาพจากงานของ Shel Silverstein ครับ
ส่วนเพลงชื่อ Alone Again (Naturally) ของ Gilbert O'Sullivan ครับ ^^

ป.ล. 2
ผมชอบเพลงนี้มาก ตั้งแต่ได้ฟังแรกๆ สมัยยังเด็ก ไม่รู้ความหมายหรอกครับ
แต่มันแปลกๆ ดีที่รู้สึกไปกับเพลงได้เลย (หรือไม่แปลกหว่า?)
พอดีสองสามวันก่อน
ได้ซีดีมาจากพี่สาวใจดีคนหนึ่งเลยมีโอกาสได้ฟังอีกหนในเครื่องเล่นดีๆ
ขอบคุณครับ^^

Sunday, July 16, 2006

รถด่วนอวกาศ 999



















ตื่นมาแต่เช้า
อาการเจ็บไข้ห่างหายไปเกือบครึ่ง
เปิดเจอหน้าเวบที่ทำให้มีความสุข
นั่งฟังเพลงนี้แล้วร้องตามอยู่อยู่ก็ดัน
ร้องไห้ออกมา...

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
นึกถึงเรื่องราวมากมายขึ้นมาได้
กลับมีสุขในใจอย่างมาก
แม้เมื่อคืนก็ยังคิดถึงจนนิทราไป

คิดถึงครับ

ป.ล. 1
ฟังเพลง ที่นี่ ครับ
อาจจะช้าและนานหน่อย เปิดหน้าต่างทิ้งไว้นาน แต่ได้ฟังแน่ๆ

ป.ล. 2
ทำงาน ทำงาน ทำงาน
ครับไปทำแล้วครับ... ^^

Sunday, July 09, 2006

เสียงรถไฟในหัวผม

ผมไม่ได้ป่วยไข้ในวันเวลานี้
อ่า...เท่าที่เข้าใจนะครับ
หวังว่าคงใช่ ^^

ผมหมายถึงความป่วยไข้ทางสุขภาพทางร่างกาย
เพราะความป่วยไข้ภายในนั้นใครจะหลีกหนีพ้นไปได้กัน
ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐแท้แน่นอน
การเรียนรู้จากช่วงชีวิตที่ผ่านมาบอกกล่าวผม

แต่ในวันเวลาที่มิได้ป่วยไข้เช่นนี้กลับทำให้นึกถึง
ประสบการณ์ในวัยเด็ก...
เด็กๆ จะหลีกหนีจากความป่วยไข้ได้อย่างไร
ไข้หวัดเป็นมิตรที่สนิทสนมที่สุดของทุกคน
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกทุกครั้งที่ป่วยไข้วัยเด็กมาเยือน คือ
เสียงรถไฟวิ่งในหัว ไม่รู้คนอื่นจะเป็นกันบ้างไหม มันเหมือนกับว่า
ผมมีสัญญาณบางอย่างบ่งบอกก่อนว่า เวลาของการป่วยไข้มาเยือนแล้ว
คือ เมื่อนอนเอนตัวแล้ว เสียงรถไฟวิ่งกังวานไปทั่วหัวกบาล
แถมโลกเหมือนกับว่า เดินช้าลง ตัวร้อนรุมๆ
สรรพเสียงต่างๆ รอบตัวดังก้องอยู่ในหัว ยิ่งข่มตาหลับ กดเปลือกตาเท่าไหร่
เสียงเหล่านั้นยิ่งแทรกเข้าไปสู่โลกภายในของผมทุกที
ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เสียงเหล่านั้นมาเยือน
รู้สึกว่าจะกลายเป็นสิ่งใดก็ไม่รู้ ผมจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรุนแรงมาก
เต้นดังไปทั่วหัว ผมกลัวในคืนวันเช่นนั้น
ไม่แน่ใจว่า มันคืออาการกลัวตายหรือไม่
รู้เพียงแต่กลัว และรู้สึกไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป...

ทุกครั้งที่เสียงแบบนั้นมาเยือน ผมจะรู้ตัวทันทีว่า
ความป่วยไข้ที่มากกว่าไข้หวัดธรรมดามาเยือนแล้ว

อาการอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น เกิดกับวัยเยาว์ของผม
นานจนอายุเท่าไหร่ - ไม่รู้
ผมไม่ได้สังเกตว่า สัญญาณบ่งบอกพิเศษนี้จากผมไปเมื่อไหร่
เพราะแม้จะป่วยไข้มากแค่ไหนในวันที่ข้ามเส้นแบ่งล่องหนนั้นมา
ผมก็ไม่เคยรู้สึกถึงสัญญาณเช่นนั้นอีกเลย

คิดในวันนี้ เรื่องเล่านี้...
อาจจะเป็นสัญญาณละเอียดอ่อนของเด็กที่เพิ่งรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา
บางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยความเข้าใจวัยเยาว์
หรือไม่งั้น สัมผัสพิเศษบางประการนั้นก็จากผมไปแล้ว

ความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บป่วยวัยเยาว์ของผมยังบรรจุไว้ด้วยอีกเรื่อง
คือ อาการท้องเสียที่ทำเอาผมต้องไปนอนโรงพยาบาล
ในวันเช่นนั้น ผมจำไม่ได้ซะแล้วว่ามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน
แต่การต้องไปนอนโรงพยาบาล
สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่แข็งแรงแบบผม น่าจะมากพอสมควร
ผมกลับจำไม่ได้ถึงอาการเจ็บไข้ครั้งนั้น
สิ่งที่ติดอยู่ภายในกลับ คือ ภาพของพ่อแม่ที่พาซ้อนรถเครื่อง(มอเตอร์ไซด์)
ผ่านโค้งถนน ภาพในความทรงจำเป็นสีส้มซีเปีย
ถนนเส้นนั้นปัจจุบันนี้ปราศจากทุ่งดอกหญ้า กลับแทนที่ด้วยตึกอาคารจำนวนมาก
โรงพยาบาลมีโรงอาหารที่ยังเหมือนตลาดเล็กๆ ไม่ใช่ลักษณะมินิมาร์ท
ขนมห่อใบตองยังมีขาย ร้านของเล่นคือสวรรค์ เพราะผมมักหนีออกมาวิ่งเล่นบริเวณนั้น

ผมชอบของเล่นชนิดหนึ่ง ที่ทุกวันนี้ยังตามหา แต่ไม่เคยพบอีก
คือ ของเล่นรูปโทรทัศน์ที่ข้างหลังมีช่องสำหรับมองเข้าไปภายใน
เมื่อกดปุ่มจากด้านล่างของโทรทัศน์ภาพที่เหมือนฟิล์มภาพยนตร์ภายใน
จะหมุนเคลื่อนไปที่ละครั้ง อาจจะมีสักประมาณ7-8 ภาพ
ผมก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก ที่จริงก็เป็นเพียงภาพของการ์ตูนวอล ดิสนีย์
สีของภาพยนตร์เก่าๆ เช่นนั้น จับใจของผมมาตลอด
มีความสุขกับของเล่นชนิดนี้มาก มันเหมือนโลกภายในนั้นมีเราอยู่ด้วย
จนวันหนึ่งที่แกะมันออกดูข้างใน ได้รู้ว่ามีองค์ประกอบใดบ้างเท่านั้น
แล้วจากไปผม ไม่กลับมาอีก...

เฮ้อ..คุยเรื่องของเล่นเสียยาว วันหลังจะมาเขียนเรื่องนี้อีกดีกว่าครับ

ป.ล.
ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อจะบันทึกถึงเสียงรถไฟในหัว
เสียงที่จากผมไปนานแสนนาน ไม่มีโอกาสรู้ว่ามันจะกลับมาอีกไหม
ทั้งที่ วัยเด็กกลัวเสียงเหล่านั้นเหลือเกิน แต่วันนี้กลับคิดถึงขึ้นมา
แปลกคนจริง... ฮ่าๆ

Thursday, July 06, 2006

ฉันเอง

ตะวันแหวกท้องฟ้าหม่นของฤดูฝนออกมาในวันนี้
แม้จะไม่ได้สาดส่องไปทั่วก็เถอะ...

รสขมปร่าในลำคอยังคงอยู่
จมูกแสบและเต็มไปด้วยเศษฝุ่นจำนวนมากแบบทุกเช้า
วันนี้ควรต้องแตกต่างไปหรอกหรือ?
อาจจะเพราะกลุ่มควันที่เคลื่อนผ่านระบบหายใจเมื่อคืน
หรือรสชาติเบียร์ยังเกาะผนังแก้ม
รสขมของยามเช้าจึงทำให้การเริ่มวันแปลกปร่ากว่าเคย

นานแสนนานของการก้าวเดินจากวันวันนั้น เรื่องราวมากมายทยอยกันเข้ามาทายทัก ประโยคหรือคำแรกที่ผมพาหลุดจากริมฝีปากคือคำกล่าวเช่นใด ไม่อาจระลึกถึง ความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นคงมีต่อผู้อยู่ตรงหน้าในวันวัยเหล่านั้น แม้ประโยคแรกจะมีความหมายเท่าๆ กับประโยคต่อมาในชีวิตก็ตาม ตื่นแหวกดวงตาที่เต็มไปด้วยขี้ตาเกรอะกรังออกมาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ข้อความแรกที่เดินทางมาถึงก็มาจากคนในครอบครัวคนหนึ่ง

วันนี้ ต้องเดินทางไปทำบุญถวายเทียนตามที่ภาควิชาบอกให้ไป (ใช้แรงงาน) ดีเหมือนกันหากจะได้เข้าวัดเพื่อทำบุญเสียบ้าง ถ้ายังอยู่ที่สุโขทัย วันเวลาเช่นนี้ ฉันและพ่อจะออกจากบ้านเช้ากว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อไปวัดราชธานีถวายข้าวกับหลวงตาที่อาศัยนอนในวิหารพระพุทธรูปที่รอดจากไฟไหม้ตลาดครั้งใหญ่ เหตุการณ์ก่อนที่ผมจะตื่นมาตระหนกกับโลกใบนี้ กว่าจะหมดภารกิจภายนอกของฉันเองในวันนี้ เวลาก็คงล่วงไปจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว เขียนไปเสมือนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่แท้จริงใครเลยจะรู้ว่าแผนการต่างๆ ที่คาดหวังกันไว้นั้นจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน

ทุกครั้งที่ตั้งความหวังกับสิ่งใด ความคาดหวังมักเดินควบคู่กันไม่ยอมห่าง ฉันจะหลีกเลี่ยงกิเลสเช่นนั้นได้อย่างไร นอกจากพยายามทำความเข้าใจต่อชีวิตมากขึ้น ในทุกวันนี้ ถ้อยคำที่ฉันผสานเข้ากับท่วงของการหายใจเมื่อระลึกถึงสติได้กลับคือ "ทุกสิ่งผุพังแตกสลายได้" บางสิ่ง แม้เราจะเฝ้าดูแลรักษามันมากมายเท่าใด แต่อายุขัยของมันก็ยังมีไม่แตกต่างไปจากสิ่งต่างๆ ที่รายล้อมเราอยู่ และแม้จะบอกว่านั่นคือถ้อยคำที่พร่ำพ่นสนทนากับตัวเองในลมหายใจ แต่...ไม่หรอก ฉันไม่สามารถเท่าทันมันได้ในทุกครั้งหรอก กิเลสและความเป็นมนุษย์ยังอยู่กับฉันมากพอ ที่จะไม่พอใจ เสียใจ แล้วแปรมันเป็นเรื่องราวไม่ดีเมื่อมาระลึกถึง-เมื่อกาลผ่าน ได้แต่พร่ำบอกเหมือนใครทุกคนที่ปรารถนาจะทำวันนี้ให้ดี ให้งดงามที่สุด

กระนั้น ใครจะรู้ได้ว่าในความปรารถนาดี ความมุ่งหมายที่จะทำเรื่องดีงามนั้น ฉันจะทำเรื่องใดพลาดพลั้งไปบ้าง ทุกสิ่งแตกหักสูญสลาย มองหาความสมบูรณ์ที่ใดกัน ก็แค่บ่นปลอบการเลือกเดินไปบนถนนที่ปลายทางยังพร่าเลือน ไม่มีทางรู้เลยว่าถนนเส้นนี้จะพาไปสู่หนใด และมันอาจพาหลงไปจากเส้นทางที่หมายมั่น แต่หากมันเป็นการหลงทางอย่างที่ใครต่อใครจะให้ความหมาย ฉันก็ให้คุณค่าว่า มันคือ การหลงทางอันแสนสุข...

จะมีกี่เช้าที่เราตื่นมาพบว่า
เวลามันเคลื่อนไปจริงๆ
มีอะไรเกิดขึ้นมากมายยินดี สุข เศร้า
เรื่องราวดำเนินไป

สวัสดี
วันที่หนึ่งหมื่นสองร้อยยี่สิบหก
สำหรับลมหายใจและการใช้ชีวิต
ขอโทษและขอบคุณครับ...

Sunday, July 02, 2006

พูห์! เรายังอยู่ด้วยกันใช่ไหม

Pooh’s Heffalump Halloween Movie

เพื่อนกันเสมอไป
เราจะกล้าไม่ไหวหวั่น
ทุกคืนทุกวัน เผชิญหน้าด้วยกันทุกอย่าง
คนเดียวทำได้ คงไม่เท่าสองคน
เรากับนายคู่กันตลอดไป
กล้ายิ่งกว่ากล้า
แข็งยิ่งกว่าแข็ง
พร้อมร่วมแรงร่าเริงแสนสุขใจ
เพื่อนกันเสมอไป

(ทำคนเดียวได้ คงไม่เท่าสองคน)
เราจะกล้าไม่ไหวหวั่น
(เรากับนายคู่กันตลอดไป)
ทุกคืนทุกวัน
(กล้ายิ่งกว่ากล้า แข็งยิ่งกว่าแข็ง)
เผชิญด้วยกันทุกอย่าง
(พร้อมร่วมแรงร่าเริงแสนสุขใจ)
รัมเปิล ดี ดูเดิล
(รัมเปิล ดี ดู)
ร่าเริงสุขี อย่างผึ้งทั้งหลาย

เป็นคู่หู คู่ใจ คู่กาย
รัมเปิล ดี ดูเดิล
ดี ดูเดิล ดี ดัม
นายคือเพื่อนฉัน
(เราเพื่อนกัน)
ถ้ากลัวขึ้นมา
(ก็ยังมีฉัน)

โลกจะได้รู้กันว่า
เราคือเพื่อนคู่หูที่เก่ง และกล้าไม่หวั่น
นายเราจะมีกัน
ภัยใดใดไม่ไหวหวั่น
ทุกคืนทุกวัน เผชิญด้วยกันทุกอย่าง
ทุกคืนทุกวัน เผชิญด้วยกันทุกอย่าง
ทุกคืนทุกวัน
เผชิญ...ด้วยกัน...ทุก...อย่าง

*******************

ขออู้ต่อไปอีกสักระยะนะครับ ^^
แล้วจะมีเรื่องเล่ามาฝากแน่ๆ ครับ