the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, May 18, 2006

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙


ผมตื่นนอนครั้งแรกจากนาฬิกาปลุกมือถือ หลังจากปิดเปลือกตากั้นโลกภายนอกไปได้สักสามชั่วโมง ก่อนที่จะจัดแจงที่นอนใหม่แล้วเข้าสู่ภวังค์ไป ขณะที่จอโทรทัศน์เริ่มทำงานอีกหน เมื่อคืนนอนดูบอลบาร์ซ่ากับอาร์เซนอลที่คิดว่าจะสนุกกว่านี้ (แต่เมื่อวานก็สนุกนะ) อาจเพราะเอาใจช่วยอาร์เซนอลอยู่ ทั้งๆ ที่เชียร์บาร์ซ่าน่ะนะ อยากเห็นการสร้างทีมที่ยังมีอองรีให้ทีมอื่นหวาดกลัวอยู่ จบลงอย่างที่ทุกคนคงรู้แล้ว อองรีคงย้ายทีม บอลอังกฤษคงกร่อยไปกว่านี้โดยเฉพาะยิ่งหากสิงห์บูลได้เชว่ามาอีกคน

ผมเริ่มต้นด้วยการบ่นตามนิสัย
มาตื่นอีกครั้งก่อนเสียงนาฬิกาจะกรีดปลุกเพียงสองนาที
ผมควานหาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ทั้งที่ตายังไม่ลืมเต็มที่

“.........”
“เออ ขอบใจมาก”
“ทำอะไรอยู่ครับพ่อ” ผมถามเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาต่างจากที่บ้าน
“อยู่อนามัย มานวด เมื่อคืนดูบอลแล้วปวดคอ ดูบอลหรือเปล่าล่ะ”
“ครับ ดูครับ พ่อปวดคอเหรอ”
“อืม ดูไปแล้วเผลอหลับคอคงเอียง กล้ามเนื้อปิดเลยมานวดหน่อย อยู่อนามัยเนี่ย”
“ครับ พ่อไม่มีอะไรหรอกครับ โทรมาบอกเฉยๆ”
“กรุงเทพฯ ฝนตกไหมล่ะ”
“ตกครับ พ่อ”
“เออ ดีแล้ว”
“พ่อมีความสุขมากๆ นะครับ แล้วดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”
“เออ....”

ผมวางโทรศัพท์แล้ว ท้องฟ้าวันนี้ยังปิดอยู่เช่นเคยเหมือนสองวันที่ผ่านมา ฝนที่พรำจากเมื่อคืนขาดช่วงไปแล้ว แต่ตะวันยังไม่สามารถหาช่องทางออกมาทำงานได้ ความขี้เกียจยังเกาะกุมเหนียวตัวให้ยึดติดกับที่นอนต่อไป ในใจคิดถึงว่า วันนี้ของเมื่อหกสิบสี่ปีก่อนมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ

เพราะผมอาศัยอยู่แถวสี่พระยาในทุกวันนี้ ทำให้ชวนคิดไปว่าเมื่อสักห้าสิบปีก่อนแถวนี้น่าจะเป็นชุมชนการค้าขนาดใหญ่ไม่แพ้กับศูนย์การค้าอื่นๆ ในปัจจุบัน ถนนสายเล็กๆ นี้เชื่อมต่อไปถึงตลาดน้อยและเยาวราช ร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งหน้าร้านเป็นแบบตึกแถวค้าขายเหลือเพียงไม่กี่ร้านที่ยังเปิดกิจการอยู่ หลายร้านนั้นปิดหน้าร้านเป็นการถาวรไปเสียแล้ว อาจมีเพียงป้ายร้านค้าที่ทำให้เห็นถึงอายุที่ล่วงเลยมานานกับข้อสังเกตของพื้นถนนที่สูงเกือบเอว ถ้าลงไปยืนบริเวณพื้นเดิมของพื้นร้านในสมัยก่อน ผมชอบไปเดินดูลายไม้ของประตูบานเฟี้ยมเก่าๆ และลายฉลุที่เหนือบานประตูขึ้นไป (ที่จริงร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกในเมืองไทยก็ตั้งอยู่บนถนนสี่พระยา หน้าร้านเก่าแก่ไม่ชักชวน แต่ก็อยู่ยงมานานเหลือเกิน) ผมเคยอ่านงานเขียนของนักข่าวเก่าในมติชนฯ เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว สำนักงานใหญ่โตของเขาก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้เช่นกัน

ทุกวันนี้ สี่พระยาเป็นเพียงถนนเส้นเล็กๆ ที่ตัดผ่านด้วยรถเมล์ตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่เหลือภาพของศูนย์การค้าขาย แต่ชุมชนมากกมายก็อาศัยถนนเส้นเล็กนี้เช่นเดียวกับชุมชนอีกมากมายที่เติบโตขึ้นในมหานครหลวงของประเทศ บริเวณที่ผมพักเต็มไปด้วยชาวต่างชาติทั้งชาวจีนสาวๆ ที่มาทำงานร้องเพลงและงานกลางคืน (ผมเดินสวนเข้าออกผิดเวลากับเธอเสมอ) ชาวอินเดีย และชาวแอฟฟาริกา ผมไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษ เพียงสังเกตเอาจากผิวพรรณที่ดำคล้ำเท่านั้น ชุมนุมของคนมากมาย แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุร้าย (ที่ผมไปรับรู้) เพราะอยู่หลังสถานีตำรวจบางรักก็ได้

หกสิบปีก่อน แถวสุโขทัยจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเองก็จินตนาการไม่ออก พ่อบอกว่าพ่อมาสุโขทัยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ถนนตัดไปกำแพงเพชรยังเป็นกรวดแดงอยู่เลย แม่น้ำยมเป็นเส้นทางขนไม้จากภาคเหนือ พ่อว่าฤดูน้ำหลากแม่น้ำยมเต็มไปด้วยซุงที่ลอยตามน้ำมาเสมือนแพขนาดใหญ่ ชาวบ้านสามารถกระโดด-เดินจากซุงหนึ่งไปซุงหนึ่งแล้วใช้สวิงตักปลาขึ้นมาได้ทุกครั้งที่ตักลงไป สุโขทัยขึ้นชื่อเรื่องปลาน้ำจืดไม่น้อยกว่าจังหวัดอื่น พ่อยังเล่าถึงภาพของต้นไม้ขนาดใหญ่ ป่าแถบบ้านด่านลานหอย บ้านเรือน มวนยา เหล้าต้มเองขาวใส และผู้คนที่พ่อตระเวนไปตามโรงเรียนเล็กๆ ของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งต่างออกมาอวลในความทรงจำที่สร้างร่วมไปกับเรื่องเล่า รู้แต่เพียงขณะนั้นคลองแม่รำพันยังไม่ถูกถนนหลายสายปิดกั้นเส้นทางเดินน้ำให้สิ้นสภาพลำคลองไป กระทั่งผมเติบโตมา ความทรงจำกระท่อนกระแท่นยังบอกว่าน้ำหลากผ่านคลองในซอยมีปลามากพอให้เด็กเล็กสี่ห้าขวบนำสวิงดักปลาเล่นได้

หกสิบสี่ปีก่อน ปู่ของผมยังคงทำนาอยู่ในจังหวัดแพร่ เรื่องราวนอกเหนือจากนั้นเลอะเลือนไปจากปากคำของพ่อ ปู่ตายตั้งแต่ก่อนพ่อจะพบกับแม่ด้วยซ้ำ ผมเคยพบปู่เพียงในรูปถ่ายงานศพของปู่ พ่อไม่เล่ามากนักเกี่ยวกับตัวปู่ว่าเป็นคนอย่างไร พ่อเป็นลูกชายคนโตของปู่ได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าลูกคนอื่น ปู่ขายนาทีละแปลงส่งพ่อเรียนจนจบ ปกศ.สูงในสมัยนั้น พ่อออกมาเป็นครูตั้งแต่อายุได้สิบเก้าปี เริ่มทำงานในโรงเรียนบ้านนอกที่ต้องเดินไปสอนในระยะทางเป็นสิบกิโลเมตร เดินตัดผ่านทุ่งนา ภูเขา (นึกถึงภาพตัวเองตอนที่ไปเดินตัดทุ่งนาในหุบน้ำเงา - แต่สมัยพ่อคงครึ้มและแตกต่างไปกว่านั้น)

เรื่องราวของหกสิบสี่ปีที่แล้ว ตกมาถึงความทรงจำของผมได้อย่างไรกันนะ หากไม่ใช่ตัวหนังสือในเรื่องเล่าจำนวนมาก (บางครั้งผมก็เกาะอาศัยครูมาลัย ชูพินิจเดินทางสู่ห้วงเวลานั้น) กับปากคำของพ่อ โลกอีกด้านอาจเดินทางมาไม่ถึงผม ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวว่า ความเป็นตัวตนและความทรงจำที่บรรจุเพื่อคัดสรรเลือกดำเนิน เปรียบเทียบ คัดแยก ในสมองผมนั้นส่วนหนึ่งหล่อเลี้ยงมาจากปากคำของพ่อ (ผมเคยเขียนเรื่องพ่อไว้ในนิทาน ๑ และ ๒ บ้างแล้ว) ผมจึงไม่ใช่คนที่มองโลกเห็นเพียงเท่าที่อายุให้โอกาส โลกของคุณทุกคนก็เช่นกัน เราต่างเป็นมรดกความรู้ของคนรุ่นก่อนหน้าที่ถ่ายทอดมาสู่ลมหายใจของเรา

หกสิบสี่ปีแล้วที่ผมรู้แน่ๆ คือ วันนี้เมื่อหกสิบสี่ปีที่แล้ว โลกมีลมหายใจของพ่อผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เติบโตและแบ่งปันความทรงจำจนวันนี้ในปัจจุบัน

ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ เพียงเพื่อจะบอกว่า “ขอบคุณครับพ่อ”

ปล. บทสนทนาในตอนต้นของข้อเขียนนั้น ในประโยคที่เว้นไว้ “.....”
ผมพูดไว้เพียงว่า “สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ”

12 Comments:

At 3:35 PM, Blogger eek said...

อืม คลองแม่รำพันรึ
เราก็อยู่ชุมชนคลองแม่รำพันนะ
แต่ไม่เห็นรู้เลยว่ามันไหลไปถึงบ้านยีนด้วย

 
At 6:23 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

อ่ะ

มีแต่คนสุโขทัยวุ๊ย
อิอิ

ปล.อ่านแล้วคิดถึงพ่ออ่ะพี่ยีน
เรากะพ่อ ไม่ค่อยมีอะไรคุยกันมากนัก
โทรไปก็ไม่มีไรคุยกัน
แต่ก็โทร ^^

 
At 7:27 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

ฉันก็จินตนาการไปไม่ถึงหรอกว่ามันเชื่อมต่อไปถึงเมืองเก่าได้อย่างไร แต่โตมาเคยถามคนแก่ๆ เขาว่ามาเป็นสายน้ำที่ไหลจากคลองแม่รำพันด้วย

คนสุโขทัยแล้วไงน้อง ^^
อืม เราคุยกับพ่อเยอะกว่าแม่อ่ะ แม่จะคุยกับพี่เรามากกว่า จำได้ว่าเคยเขียนถึงพ่อในคอลัมภ์คำถามสนุกๆ เรื่องคุณคิดว่าว่าพ่อของคุณเหมือนฮีโร่คนไหน เราได้รางวลัด้วย แม้จะไม่ใช่ที่หนึ่ง เราเขียนว่า พ่อเหมือนบุฟฟิเยร์ (บุฟฟิเยร์ คนปลูกต้นไม้) คือยิ่งเราโตขึ้นมาพ่อยิ่งพูดน้อยลงแต่น่าศรัทธามากขึ้น ที่จริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เรายังคุยกับพ่อเสมอ เมื่อมีโอกาส

ปล.พ่อสอนให้เรากินข้าวให้หมดจาน ไม่ต้องเหลือแบบที่ในหนังสือมารยาทผู้ดีเขียนไว้ ซึ่งเราจำได้จนวันนี้เพราะพ่อบอกว่า อย่ากินข้าวให้เหลือในจาน ชาวนาทำนามาลำบาก และพ่อก็เป็นลูกชาวนา เราเชื่อว่าพ่อพูดเพียงครั้งเดียว แต่มันกลับทำให้ผมจดจำและปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ (โดนเพื่อนมองแปลกทุกทีที่ข้าวเกลี้ยงจาน) แต่บ่ายวันนี้ไปกินข้าวมาในร้านมีลูกเจ้าของร้านเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนกินข้าวเหลือในจาน ด้วยอารมณ์อยากรีบไปเล่นของเด็ก พ่อของน้องสอนน้องด้วยคำพูดว่า กินข้าวเหลือเป็นเม็ดอย่างนี้ จะได้แฟนไม่สวยนะ โตขึ้นแฟนจะหน้าตาเป็นเม็ดๆ นะ
ไม่รู้หรอกว่าในหนึ่งในอนาคตน้องเขาจะจำคำพูดเช่นนี้ของพ่อได้หรือ แต่อย่างน้อยเราจำได้ว่ะ ^^

 
At 1:02 AM, Anonymous Anonymous said...

ขอให้พ่อยีน แข็งแรงๆนะ
เดี๋ยวก็บอลโลกแล้วซิ...อิอิ ต้องบริหาร ร่างกายกันหน่อยแล้ว
ช่วงเวลาในอดีตสอนเราผ่านความทรงจำของ ผู้คนในแต่ละยุค หนังสือในแต่ละสมัย
อ่านเรื่อง ทรงจำของยีน
ก็ทำให้นึกถึงพ่อ เคยคิดจะสัมภาษณ์พ่อดีๆ เก็บไว้
เพื่อเอาเรื่องมากมายที่พ่อชอบเล่า มาต่อเชื่อมกันไว้ให้ดีกว่านี้..
ขอยใจนะยีน อ่านแล้วคิดถึงพ่อดี..

 
At 1:06 AM, Anonymous Anonymous said...

เออ.. มาอ่านคอมเม้น ยีนอีกที
นึกได้ว่า พี่ก็กินข้าวหมดทุกเม็ด เหมือนกัน
ไม่รู้จำจากใคร เพราะบางที พ่อก็กินข้าวเหลือ
สงสัยแม่จะตักให้เยอะอะ..+_+

 
At 7:51 AM, Anonymous Anonymous said...

ผมค่อนข้างเหินห่างจากพ่อ ...
อ่านแล้วเลยรู้สึกคิดถึงพ่ออย่างบอกไม่ถูก

 
At 10:14 AM, Anonymous Anonymous said...

มาแว้น แต่ต้องรีบไปเลยยังไม่ได้อ่าน อิอิ ไว้ต้องมาอีกบ่อย ๆ แน่นอน

 
At 10:15 AM, Anonymous Anonymous said...

ข้างพี่นุชอาสาเองว่ะ

 
At 12:34 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่เขียน
ขอบคุณครับพี่ ผมก็ยุพ่ออยู่เสมอให้เขียนเรื่องในความทรงจำสมัยพ่อเด็กๆ หนุ่มๆ เก็บไว้ให้ผมอ่านบ้าง ที่จริงชวนพ่อคุยเอง ท่าจะง่ายกว่า ^^

คุณ king of pain
แหะๆ (หัวเราะขอบคุณ - ยกมือกดหัว ก้มงกๆ)
ครับ ผมก็เขียนด้วยความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า พ่อแก่มากแล้ว อยากกลับบ้านไปอยู่กับพ่อไวๆ เบื่อเมืองหลวงเต็มที ฮือๆ

พี่นุช
ดีครับ พี่หลงไปหลงมาพบกันจนได้ ดีใจที่แวะมาครับ

 
At 4:59 PM, Anonymous Anonymous said...

เพิ่งแวะมาทักทายครับ
อ่านแล้วอบอุ่นจัง พาลคิดถึงพ่อขึ้นมาด้วยคน

ผมไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ แบบนี้นานพอสมควรแล้ว
ไว้จะแวะมาบ่อยๆ นะครับ ^^

 
At 11:02 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

คุณ carre de mim
(แหะๆ ยิ้มเขิน-ยกมือกดหัว ก้มงกๆ)
ขอบคุณ สำหรับคำชมครับ ^^

เห็นด้วย เรื่องไม่สามารถแบ่งคนว่ามีจินตนาการมากน้อยด้วยสายการเรียนกับอาชีพครับ เพราะโดยประสบการณ์ส่วนตัวไม่เป็นเช่นนั้นเลย พี่ชายผมก็เรียนทางวิศวกร แต่เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ผมรักการอ่าน เล่นดนตรี และมีเสียงหัวเราะตลกๆ น้องที่เรียนทางศิลปะบางคนเสียอีกที่เคยถามอาจารย์ในห้องเรียนว่า คนที่เขาไม่เรียนศิลปะจะมาเข้าใจ มาวิจารณ์งานศิลปะได้อย่างไร ฯลฯ ทั้งที่ความจริงไม่มีใครเหมือนกันภายใต้แบบฉบับที่เราวางไว้หรอกครับ

หากนิวตันไม่สงสัยต่อว่าแอปเปิ้ลหลุดจากขั้วว่าทำไมตกใส่โลก และดาวินชีไม่กลับมาอ่านบันทึกแล้วจินตนาการถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน วิทยาศาสตร์ก็อาจจะถูกค้นพบโดยผู้อื่น แต่ความรู้อาจเดินทางมาถึงช้ากว่าที่เป็นในวันนี้ ความใฝ่ฝันจะมีชีวิตนิรันดร์ของฟาร์โรห์ทำให้สิ่งก่อสร้างทางวิศวกรรมเหลือเชื่อเกิดขึ้น แต่ก็ต้องรวมความเพียรในการแสวงหาความรู้ที่จะก่อตามมาด้วยครับ

ชอบเรื่องเล่าของหลานสาวครับ น่ารักจริงๆ (พยักหน้าตามหงึกๆ เลย-พระจันทร์เสี้ยวเนี่ย ^^)คุณ carre de mim ก็เขียนหนังสือได้สะอาดดีนะครับ

คุณ totji
สวัสดีครับ ขอโทษทีที่จำไม่ได้ว่าคุณต็อดจิไหนครับ ใช่คนเดียวกับTotJiroในบอร์ดแห่งนั้นหรือเปล่าครับ ?
แต่ก็ช่างเถอะ ยินดีที่รู้จักครับ ดีใจที่แวะมาด้วยครับ^^

 
At 10:59 PM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณมากนะครับ สำหรับบทความ

 

Post a Comment

<< Home