the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Wednesday, May 31, 2006

คิดถึงขึ้นมา...เท่านั้นเอง

สองวันก่อน ไปเจอคนที่ทำให้หวนไปนึกถึงเรื่องราวอุ่นๆ สมัยยังร่ำเรียนอยู่ม.ปลาย
เขียนตอบเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว อยากจะนำกลับมาบันทึกเพิ่มเติม
เก็บไว้ดีๆ อีกสักหนในนี้
......

จากสมัยเรียนม.ต้นนั้น
โรงเรียนของผมมีแต่เด็กผู้ชายเป็นเพื่อนร่วมชั้น
พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นกันมากที่ปีแรกของม.ปลาย จะมีสาวๆ มาเรียนด้วย
ชีวิตแปลกใหม่เดินทางเข้ามาทายทัก
ความเป็นหนุ่มสาว กระตุ้นให้เราต่างมีพลังกระทำในเรื่องมากมาย
ผมไม่ได้สนิทกับเธอในปีแรกที่เรารู้จักกัน ช่วงนั้นผมยังไปแอบชอบสาว
ต่างโรงเรียน (ที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนในจังหวัดเดียวกัน)
เราเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งห่างกัน

ผมจำไม่ได้ว่าเราเริ่มคุยกันมากขึ้นเมื่อไหร่...
แต่คลับคล้ายว่า วันหนึ่งเธอโทรมาที่บ้าน
เพราะรู้ว่าผมมีเทปเบิร์ดกะฮาร์ทในอัลบั้มก่อนหน้าชุด "จากกันมานาน"
ผมไม่รู้ว่าเธอรู้หมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านของผมได้อย่างไร
แต่เรื่องเพลง "เพื่อนกัน" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลังจากนั้น...

จากวันนั้นเรื่องราวมากกมายเดินทางผ่านสายโทรศัพท์ถึงกัน
ผมกับเธอกลายเป็น"เพื่อนสนิท"
ที่แตกต่างจากเพื่อนสนิทผู้ชายที่ผมเคยมีมาก่อนหน้า...

นับจากวันที่เธอโทรศัพท์มาครั้งนั้น
ทุกวันจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านของเธอและของผมสลับกันไป
โดยที่ไม่ได้ทำข้อตกลงใดๆ เพียงแต่เสมือนรู้ว่า
วันนี้ฉันจะโทรไป และพรุ่งนี้เธอจะโทรมา
เรื่องราวเคลื่อนตามความสั่นไหวของสายโทรศัพท์
บ้านของเราอยู่ต่างอำเภอกัน แม้เราจะได้พบกันที่โรงเรียนทุกวัน
แต่ก็เป็นเพียงการพบหน้า แล้วยิ้มให้กันเท่านั้น
ทุกเรื่องที่สนทนาไม่พ้นจากเพลงของเฉลียง
เพลงของเบิร์ดกะฮาร์ทและเพลงอีกมากมาย
ผมจึงมีคาสเซ็ทไปกำนัลเธออยู่เสมอ ส่วนเธอมักมีหนังสือหลายเล่มมามอบให้อ่าน
ผมเริ่มอ่าน ว้าวุ่น แล้วคุยกับเธอ เธอชอบงานของปินดา โพสยะ
และกลายเป็นเราชอบงานของปินดา

เคยคิดไว้ในใจเสมอว่า หากมีคนถามว่าใครทำให้ผมรักการอ่าน
ผมจะมีชื่อของคนสามคนเป็นคำตอบของคำถามนั้น
คนหนึ่งคือ พ่อ คนหนึ่ง คือ พี่ชาย และคนหนึ่ง คือ เธอ

ผมว่าคุณหลายคนก็อาจจะเคยเป็น ที่เมื่อพบกับสิ่งใดเข้ามากระทบ
จะทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องราวอื่นๆ ตามมา
สำหรับผมแล้ว กลิ่นดินยามหลังฝนพรำ คือ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงเธอ
เธอเป็นคนแรกที่ได้อ่านเรื่องสั้นเกี่ยวกับฝน เพื่อนและโรงเรียนของผม
เราสนทนากันว่า ต่างชอบกลิ่นดินเช่นนี้
หลังจากนั้นกลิ่นดินลอยมาเมื่อไหร่ ภาพของเธอก็ยังกรุ่นอยู่เช่นนั้น
แม้เมื่อเวลาผ่านไป จะเลือนลางลงบ้าง
อาจเพราะทุกวันนี้ ผมได้กลิ่นดินน้อยเหลือเกิน...

ในการแข่งกีฬาสีปีหนึ่ง ผมพลาดในการเล่นวอลเล่ย์บอล ทำให้เส้นเอ็นที่ข้อเท้าพลิก
จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เพราะช่วงนั้นไม่มีคนในครอบครัวอยู่บ้าน
ข้อเท้าบวมใหญ่จนน่ากลัว หมอจับใส่เฝือกอ่อน
เพื่อนๆ พากันไปเยี่ยมและเธอก็ไปด้วย พร้อมดอกมะลิ
เธอนำรูปถ่ายอ่างเก็บน้ำใกล้บ้านของเธอมาให้ตามที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้า
และในนั้นมีรูปของเธอกับต้นตะบองเพชรที่บ้าน
ผมไม่เคยมีรูปเธอมาก่อน
เพราะเราพบหน้ากันแทบทุกวันอยู่แล้ว
แม้เธอจะบอกภายหลังว่า เธอเพียงนำมาให้ดูเท่านั้น
แต่แน่นอน ผมไม่คืน

ผมชอบเรียกเธอว่า "ยาย"
เพราะเธอมักชอบเม้มปากงุ้มจนไม่เห็นฟันเหมือนคนแก่ในเวลาที่คุยกัน
บ้านของเธอปลูกดอกมะลิในกระถาง บางครั้งเธอจะนำมาโรงเรียน
และบางครั้งผมจะพบมันอยู่ใต้โต๊ะเรียนสกปรกของผม
(นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งในภายหลังที่ใต้โต๊ะเรียนของผมสะอาดสะอ้านขึ้น)
ส่วนบ้านของผมเคยมีต้นจำปี แต่หลังจากย่าตายไปมันก็ไม่บานอีก
ทุกเช้าผมจึงต้องไปเก็บดอกจำปีจากบ้านตรงข้ามใส่กระเป๋าเสื้อไปโรงเรียน
พร้อมจดหมายน้อยที่เขียนขึ้นเมื่อคืนก่อน
บรรจงวางไว้ในมุมที่คนอื่นไม่เห็นง่ายนัก ใต้โต๊ะของเธอ

เราสื่อสารกันด้วยจดหมายน้อยจำนวนมาก
ส่วนใหญ่เป็นกระดาษชิ้นน้อยๆ ที่ฉีกจากสมุดส่งไปมาระหว่างเรียน
มีบางช่วงปิดเทอมที่เราห่างกัน แต่ก็ยังอาศัยจดหมายเขียนถึงกันทางไปรษณีย์
ชื่อในจ่าหน้าซองของผมคือ ฮาโตริ-โน้ต
เพราะเธอบอกว่า ผมชอบอยู่ๆ แวบหายไปแล้วก็แวบมา
ผมจึงวาดการ์ตูนรูปนินจาจมูกโตเป็นตัวแทนตัวเอง
ส่วนเธอเรียกตัวเองว่าต้นตะวัน
เธอชอบดอกทานตะวัน

ผมไม่รู้ตัวหรอกว่า ก้าวข้ามความรู้สึกของเพื่อนสนิทในวันไหน ช่วงเวลาใด
แต่มันก็เกิดขึ้นและดำเนินไปเช่นนั้นเอง

ของขวัญวันเกิดของผมในปีต่อมาจากเธอ คือ
กล่องดนตรีที่มีตุ๊กตาเซรามิกรูปคุณยายอยู่ด้านบน
เวลาของวัยหนุ่มสาวกระมังที่ทำให้เรื่องของเธอชัดเจนอยู่เสมอ
เพราะเมื่อระลึกถึงวันวัยที่ยังวิ่งเล่นบอลทุกเย็นกับเพื่อนในสมัยม.ปลาย
วันวัยที่มีความทรงจำสนุกสนานในแต่ละวัน
เรื่องราวอุ่นๆ ที่กลัดมาด้วยเสมอ คือ เรื่องของเธอ

เรื่องนี้ไม่ได้จบด้วยความสุขสมหวังอย่างที่ควรเป็น
ผมสอบเข้าเรียนต่อได้ในมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ
แต่คนละคณะ เธอได้เรียนในสายวิชาที่ไม่พึงพอใจนัก
เราสัญญาว่าจะคอยดูแลกัน
เพราะเธอต้องจากเพื่อนๆ ผู้หญิงคนอื่นในกลุ่มของเธอ
แต่ผมก็ผิดที่ไม่อาจรักษาสัญญาได้
การเรียน การรับน้อง และงานที่มหาศาลทำผมเดินทางห่างออกไป
เรายังคงร่วมกิจกรรมในฐานะของคนที่มาจากจังหวัดเดียวกัน

จนกระทั่งมีทติ้งจังหวัดที่ขุนตาน
ผมเป็นส่วนหนึ่งในการเลือกสถานที่
และครั้งนั้นเป็นการเดินขึ้นดอยที่ทำเอาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลม
เธอบ่น โมโห และโกรธเคือง ผมเสียงดังใส่
ผมทะเลาะกับเธอรุนแรงอย่างที่ไม่คิดจะเป็นได้
(ที่จริงก่อนหน้านั้นคล้ายกับมีกำแพงใสๆ กั้นเราไว้มาระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อพบหน้าก็คล้ายไร้ถ้อยคำกล่าวเสมอมา เราห่างกันไปโดยไม่รู้ตัว)
การพูดคุยครั้งแรกในรอบหลายเดือนจึงกลายเป็นการทะเลาะกัน
เหตุการณ์ครั้งนั้น เราอยู่ปีสอง

เราไม่ได้คุยกันอีกเลย
แม้จะพบหน้ากันบ้าง ท่ามกลางหมู่เพื่อน
ผมห่างจากเธอขึ้นทุกที ทุกที
ผมมีทิฐิของผม เธอก็มีของเธอ
ในช่วงวัยนั้น ผมถามตัวเองว่าทำไมเธอจึงเปลี่ยนไป
ไม่ใช่คนมองโลกแง่ดี งดงามอย่างที่ผมรู้จัก

เมื่อผ่านพ้นมาราวสองปี เธอใกล้จะเรียนจบแล้ว
ผมรู้สึกว่าเราจะต้องจากกันไปในฐานะเช่นนี้หรอกหรือ...

เพื่อนที่ผมเคยรักมากคนหนึ่ง
จะกลายเป็นเพียงคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือ?
ผมมองตัวเองในคำถามที่ผ่าน
เธอเปลี่ยนไปเพียงคนเดียว?
ผมเองด้วยสิ ผมเองด้วยที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เราต่างเติบโตขึ้นในมุมมองของชีวิตที่แตกต่างกัน
ไม่มีใครยืนยันความผิดถูกได้หรอก

ผมเป็นฝ่ายเริ่มทักและคุยกับเธอก่อน
ด้วยความรู้สึกว่า เราอย่าตายจากกันไป
โดยที่ยังมีความโกรธต่อกันเช่นนี้เลย
เธอยังตอบเพียงเท่าที่จำเป็นในทุกคำถามของผม
เท่านั้นก็คงพอแล้วสำหรับผม

เรากลายเป็นคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ใจผมยังมีเธอเป็นเพื่อนสนิท
คิดถึงเธอทุกครั้ง
ช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิต ในเวลาต่อมาหลายครั้ง
ผมจะเขียนจดหมายไปถึงเธอที่บ้าน
รายงานว่าขณะนี้ทำอะไรอยู่ และกำลังจะทำอะไร

ไม่มีจดหมายตอบจากเธอ อาจเพราะผมไม่ได้ลงที่อยู่ไว้ให้
(แม้จะหวังว่าเธออาจจำที่อยู่เดิมเมื่อสมัยม.ปลายของผมได้)

ทุกวันนี้ผมยังเก็บจดหมายน้อย รูปภาพ ของขวัญ
และทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอไว้ในกล่องความทรงจำอย่างแน่นหนา
เก็บไว้กับเรื่องราวความทรงจำต่างๆ ในสมัยเยาว์วัยที่บ้านเกิด

ป.ล. ผมยังจำได้ถึงข้อความที่ผมเขียนให้เธอหลังจากเราทะเลาะกันอย่างรุนแรง
ข้อความที่ผมรังเกียจที่จะจดจำ แต่ผมจำได้
ผมเขียนว่า

"..หากเริ่มต้นยังมีทรงจำแห่งการรู้จัก
เมื่อถึงวันแปลกร้างก็ควรมีการล่ำลา
หากมันทำลายมิตรภาพแสนดี ฉันมีเพียงคำขอโทษทำได้
แม้สุดท้ายเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
แต่อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกัน ไม่นานมา...
อย่าละเลย... หลงลืม... ความฝัน..."


.......

จบเรื่องที่ทำเอาอยากเขียนจดหมายถึงเธออีกครั้งแล้วครับ ^^

คืนที่บันทึกข้อความนี้อีกหน ฝนก็ตก
แต่ผมไม่ได้กลิ่นดินจากเมืองหลวงแห่งนี้เลย
คิดถึงขึ้นมา...เท่านั้นเอง

14 Comments:

At 3:41 AM, Anonymous Anonymous said...

ชอบอ่านเรื่องของบล็อกนี้

 
At 11:13 AM, Anonymous Anonymous said...

มาอ่านเรื่องอุ่นๆ วันที่ร้อนอบอ้าวฮะ ^^

 
At 1:35 PM, Blogger eek said...

"เรากลายเป็นคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ใจผมยังมีเธอเป็นเพื่อนสนิท
คิดถึงเธอทุกครั้ง"

โดนใจอะเพื่อน นึกถึงเพลงท่อนนี้
...ฐานะเพื่อนสนิท อดีตคนรู้ใจ... ของอัสนี-วสันต์
ไปแอบร้องไห้ได้ไหม

 
At 1:44 PM, Anonymous Anonymous said...

นั่งอ่านเรื่องนี้ตอนฝนพรำพรำพอดี--
แต่แถวนี้ยังได้กลิ่นดิน(ผสมขี้หมาจางจาง)ได้อารมณ์ม้ากกกกกกก...

อ่านแล้วก็อุ่นอุ่นจริงน่านแหละ ทำเอาอดที่จะนึกถึงช่วงเวลาแบบนั้นของตัวเองขึ้นมาบ้างไม่ได้...เปล่า...ไม่ได้มีเรื่อง เพื่อนสนิท เหมือนยีนหรอก แค่นึกถึงช่วงมัธยมกับเพื่อนเพื่อน และอะไรอีกหลายอย่างของชีวิตในช่วงนั้น เฮ้อ น้ำตาพานจะไหลเอานะเนี่ย

ป.ล. ฮั่นแน่ เราก็รุ่นใกล้เคียงกันนะเนี่ย ฟังเบิร์ดกะฮาร์ท แล้วก็อ่านว้าวุ่นด้วย เนาะ ชีวิตที่ผ่านมามันช่างน่าจดจำซะจริงเชียว

 
At 2:35 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

สวัสดีครับพี่ฟัก
แต่เรื่องผมไม่ได้โรคจิตนะพี่
ดีใจที่ชอบ และยินดีที่แวะมาครับ^^
ผมก็ชอบไปอ่านบล็อกพี่
ขำไป สบถไป
หน้ากากคนดีหลุดทุกทีเลย^^

คุณk.o.p.
เรื่องเก่าๆ นึกขึ้นได้ในบางทีน่ะครับ
แถวที่ผมอยู่นี่ครึ้มเลยนะ

อิ๊ก
เฮ้ย...
ไม่เคยฟังเพลงใหม่ของอัสนีเลยว่ะ
มีทำนองนี้ด้วยเรอะ
(ไม่ให้แอบไปร้องเว้ย มาร้องต่อหน้าซะดีๆ)
บ้า^^

พี่จ๋อย
พี่กับคุณ k.o.p.ต้องอยู่คนละมุมเมืองแน่เลย
แถวที่ผมอยู่ไม่เห็นพื้นดินเลยพี่ มีแต่ปูนซีเมนต์
เลยไม่ได้กลิ่นดิน แต่ขึ้หมาอ่ะ เต็มซอยเลย
อืม ผมก็ชอบช่วงเวลานั้นพี่ แต่นึกทีไรดันกลัดเรื่องนี้ติดมาด้วยทุกทีเลยT-T พี่จ๋อยเคยอ่านการ์ตูนของอาดาจิ มิซึรึ เรื่อง NINE ไหมพี่ ผมอ่านแล้วนึกถึงเพื่อนๆ ช่วงวัยนั้นเพียบเลย
ป.ล. ผมจะไปบังอาจเทียบเท่ารุ่นพี่จ๋อยได้ไง^^
รุ่นเล็กเด็กน้อยจะตายอ่ะผม

 
At 6:16 PM, Anonymous Anonymous said...

ยินดี ที่เรื่องที่เขียนมี"แรง"
เรื่องสั้นชุดนี้ชื่อหอมกลิ่นความรักค่ะ
อาจจะเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นให้คล้องจองกัน

ฉันเอาเรื่องไปแอบไว้ในโพรงหลุมเยอะเชียว
จะหยิบออกมาทำเป็นเรื่องสั้นชุดทำมือ
ปลายปีจะเอาออกมาขายช่วยทำแบ่งฝัน
ที่ทำไปแล้วมี "เรื่องสั้นฝันหวาน"
กำลังพิมพ์เรื่องที่เขียนจบแล้วอีก 3 ชุด

เอ่อ เขียนเพื่อบำบัดตัวเองทั้งนั้นอ่ะ พี่หนวด

 
At 8:02 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

อ่านเรื่องอุ่นๆของพี่ชาย
นึกถึงเรื่องอุ่นๆของตัวเองบ้าง

ความทรงจำอุ่นๆ
คิดถึงที่ไรอุ่นใจ

ชอบๆ

 
At 10:37 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

ดีครับน้า
(ไม่น่าหลวมตัวเลย แย่เชียว)
เขียนเพื่อบำบัดตัวเองต่อไปนะครับ
น้าจ๋อม

น้องอุ๋ย
มีคำว่าอุ่นในข้อเขียนน้อง
เจ็ดคำ อุ่นจนร้อนเลยอ่ะ ^^

 
At 12:04 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

นั่งฟังเพลงเก่าอยู่คนเดียว
คิดถึงช่วงที่เพลงขับตัวโน้ตออกมา
ผมยังเด็กเหลือเกิน

แต่ทุกวันนี้ก็ยังชอบเนื้อร้องอยู่
ฟังแล้วมีแรงไปทำอะไรต่อมิอะไร
(ถ้าไม่ขี้เกียจเกินไปนะ^^)
เฮ้อ
ทางหนึ่งซึ่งหวังครับ

http://www.oldsonghome.com/music/listen.php?song_id=1171

 
At 7:01 PM, Anonymous Anonymous said...

ดีจังเลยนะครับ
เพลงเก่าๆ ก็มีอะไรเย้ายวนน่าฟังดีนะ

ผมมีเพลงเก่าๆ ในความทรงจำอยู่หลายเพลงเหมือนกัน

แต่เพลงนี้ไม่เคยได้ยินล่ะ ^^

 
At 8:24 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

แต่เพลงนี้ไม่เคยได้ยินล่ะ ^^

^
^
ฮ่าๆๆ
งั้นแสดงว่ามันจะเก่าไปน่ะครับ


อันที่จริงผมก็ไม่เคยได้ยินสมัยที่บันทึกแผ่นครั้งแรกหรอกครับ เพราะเพลงของดิ อินโนเซ็นต์เนี่ย ขนาดอัลบั้มครั้งนี้จากพี่ถึงน้อง ผมยังอยู่สักป.สาม ป.สี่เองมั้งครับ เพลงนี้มันก่อนหน้านั้นไปอีก แต่มาได้ฟังจากอัลบั้มรวมเพลงสมัยม.ต้น แล้วชอบ มาได้ยินอีกครั้งก็ยังนิยมในเนื้อร้อง

วันนี้ผมหงอยๆ พิกล นั่งฟังเพลงบล็อกคุณ k.o.p.แล้วก็มาฟังเพลงเก่า ดูcdการ์ตูนเรื่อง howl's moving castle แล้วทำให้มีเรื่องอยากสื่อสารมากมาย แต่ยังจัดการเรียบเรียงภายในไม่ได้ ไว้จะมาเขียนในวันหลังครับ

ปล. ขนาดเขียนไม่ได้ยังยาวขนาดนี้เลยวุ้ย!
ระวังเด็กชายแห่งศตวรรษที่ยี่สิบหลอกหลอนนะครับ "เพื่อน" ^^

 
At 9:10 PM, Anonymous Anonymous said...

วันนี้ไปซื้อมาอ่านเพิ่มอีก 3 เล่มฮะ ^^
ชอบวิธีเล่าเรื่องของเขามากเลยครับ

เล่าย้อนกลับไปกลับมาระหว่างปัจจุบันกับอดีต
ปริศนาก็มีอยู่มากมาย

แต่สงสัยว่าแค่เล่มสองก็พอจะรู้แล้วว่า
"เพื่อน" คือใคร
หรือว่าจะมีอะไรพลิกแพลงหักมุมอีกน้อ ...
ชักจะสงสัย
ต้องอ่านต่อไป ...

ปล. ที่หงอยๆ เป็นเพราะสภาพอากาศด้วยหรือเปล่าครับ
วันหลังจะหาเพลงสดใสๆ ไปลงบล็อกดีกว่า

 
At 6:08 PM, Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้ว...
อยากร้องให้อีกแล้ว...

 
At 9:12 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

T-T

 

Post a Comment

<< Home