the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Wednesday, July 25, 2007

ซักผ้า...

ผมเพิ่งตากผ้าเสร็จ...

อากาศแปรปรวนไปทุกวัน โอกาสซักผ้าก็น้อยลง
พรุ่งนี้มีธุระต้องออกไปข้างนอกแต่เช้า ทำให้ความจำเป็นกระซิบบอก
กว่าจะได้ออกไปซักผ้าก็ปาไปสามทุ่มกว่าแล้ว

ออกไปซักผ้า...
ใช่ครับ ไม่ได้ซักมือแน่เองหรอกครับ
ใต้หอพักมีเครื่องซักผ้าตั้งเรียงกันอยู่สี่เครื่อง
ฟนึ่งในนั้นเสียมาสองสามอาทิตย์แล้ว ป้ายบอกรอซ่อมยังอยู่เช่นเดิม
เครื่องซักผ้าใช้เวลาประมาณสี่สิบ ห้าสิบนาที
ในการหมุนไป หมุนมา

เพราะอากาศแปรปรวน
บ่ายวันนี้ พายุฝนกระหน่ำพร้อมเสียงคะนองของฟ้า
ผมหมุนบานเกล็ดป้องกันฝนสาดเข้าห้อง บ่ายของวันที่ต้องเปิดไฟเพดาน
ความมืดล้อมรอบหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้ทุกด้าน
ผมผ่านยามบ่ายไปด้วยความมืดใต้เปลือกตา

เพราะอากาศแปรปรวน
ผมจึงตัดสินใจซักผ้าในตะกร้าหลังห้องเสียที
หากทิ้งไว้นานเนิ่นกว่านี้ ถึงคราวต้องซักครั้งหน้า
ราวตากผ้าก็คงไม่มีพื้นที่เพียงพอ

ผมตั้งนาฬิกามือถือเพื่อให้รู้เวลาที่ต้องลงไปเอาผ้า
ก่อนขึ้นมาพิมพ์งานที่ต้องนำไปปรึกษาอาจารย์ในวันพรุ่งนี้
คืนนี้โทรทัศน์ไม่ได้กินไฟฟ้าห้องผม
รอบข้างจึงเงียบกว่าเคย มีเพียงเสียงคีย์บอร์ดกับพัดลม

นาฬิกาดังขึ้นก่อนเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จ
ล่วงหน้าประมาณสิบห้านาที เพราะผมต้องลงไปเติมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งยังคงจับกลุ่มคุยเล่นกันบริเวณทางเดินใต้หอ
หลังเติมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ผมขึ้นมาพิมพ์งานต่ออีกสักพัก
ก่อนต้องลงไปใต้หออีกครั้ง
เด็กวัยรุ่นกลุ่มเดิมแยกย้ายกันไปหมดแล้ว...

เสียงโวยวายดังมาจากหน้าร้านขายข้าว
พี่คนนึงต่อว่า พี่ผู้ชายที่ห้อยจตุคามเสียงดังเผื่อคนรอบข้างว่า
โทรศัพท์มาทำไมตอนตีสอง ทำเอานอนไม่หลับ
ชายห้อยจตุคามบอกว่า แล้วแกก็ไม่วางนะ ฉันคุยกับเด็กอยู่
แล้วโทรศัพท์มาโทรออกเอง ดันมาแอบฟังซะอีก
คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หน้าร้านพากันหัวเราะ
หลายประโยคต่อจากนั้นฟังไม่ได้ความ

ผมหยิบผ้าใส่ตะกร้าก่อนเปลี่ยนไปยืนหน้าตู้อบผ้า
ซักผ้ายามความมืดครอบคุมไปทั่วแล้ว
ความหวังจะไม่ให้ผ้าเหม็นอับเกินไปนัก
อยู่ที่เจ้าตู้เหลี่ยมๆ ตรงหน้า อัตราหนึ่งต่อหนึ่งของบาทและนาที
เหรียญสิบกลิ้งเข้าเครื่องไป เครื่องทำงาน
หมุนและหมุนอีกครั้ง...

ระหว่างที่รอสิบนาทีนั้น
ในเงามืดบริเวณลานจอด
เด็กสาวในชุดนักเรียนกระโปรงแดง ยังนั่งคุยโทรศัพท์ใต้ละอองน้ำค้าง
ผมเห็นเธอคุยโทรศัพท์อย่งานี้ทุกวัน บางวันก็เดินไปมา
คุยได้เกินวันละสองสามชั่วโมง
เห็นแล้วนึกถึงตัวเองช่วงชีวิตที่เคยเป็นเช่นนั้น
ประมาณม.ปลายได้กระมัง ที่มีเรื่องสนทนากับเพื่อนไม่หมดไม่สิ้น
คุยได้ทุกวัน ทั้งที่พบหน้าและอยู่ด้วยกันทั้งวันที่โรงเรียน

เดือนนี้ค่ามือถือมาถึงแล้ว
ในใบแจ้งค่าใช้จ่าย บอกว่าผมใช้โทรศัพท์ไปเก้าบาท
เรื่องสนทนาเหล่านั้นหายไปไหนหมดแล้วนะ...
เพื่อนเหล่านั้น มันใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนกันมั่งว่ะ

เด็กสาววิ่งเข้าหอไปแล้ว
บรรยากาศรอบตัวในความมืดและยะเย็นหลังฝนผ่านนั้น
ทำให้คิดถึงค่ำคืนหนึ่งในเชียงใหม่ ค่ำคืนที่เดินเท้าไปในความมืด
เดินเพื่อที่จะได้ซับเรื่องราวที่ผ่านให้มากขึ้น เดินเพื่อที่จะมองเห็นรอบข้างได้มากขึ้น
พระจันทร์ในคืนนั้น ไม่เต็มดวงแต่นวลแสง
อากาศยะเยือกเย็น มือสองข้างซุกลงในเสื้อกันหนาว
ปล่อยให้เท้าทั้งสองข้าง ห่อหุ้มด้วยรองเท้าแตะต่อไป...
เชียงใหม่บรรจุความทรงจำของชีวิตไว้มากนัก

ก่อนที่ความคิดจะพาไปไกล ถึงความตาย ความผิดหวัง ปัญหา
ทัศนคติ อัลแบร์ กามูส์ และการตัดสินใจในวันเวลานั้น
ผมพาตัวเองกลับมายืนหน้าเครื่องอบผ้าอีกครั้ง
เครื่องยังหมุนต่อไปอีกไม่นาน ก่อนหยุดลง

หลังห้อง
ความมืดครอบคุม กว่าแสงจะเดินทางมาถึงมุมนี้ก็เป็นเวลาบ่ายของพรุ่งนี้
ผ้าค่อนข้างหมาดและแห้ง หวังว่าฝนจะไม่ตกลงมาอีกคืนนี้

ผมคิดไปว่า...
พรุ่งนี้ ผมจะลืมไปไหมว่า คิดอะไรไปบ้างในคืนนี้
คืนที่ตากผ้าในความมืด

Thursday, July 19, 2007

Kodak Elite 100 By VaslinCamera




แท่น แทน แท๊น!!!!!!!!
กล้อง: วาสฯ (ซึ่งค้นพบแล้วว่า ย่อมาจาก แล้วแต่วาสนา - -")
ฟิล์ม: Kodak Elitechrome100
สถานที่: สี่พระยา สยาม จุฬาฯ ถนนมหาพฤฒาราม ฯลฯ

so, let's play!!!

Wednesday, July 18, 2007

บางทีก็เป็นเหมือนหมาหลงทาง





กล้อง: วาสฯ (ซึ่งค้นพบแล้วว่า ย่อมาจาก แล้วแต่วาสนา - -")
ฟิล์ม: Kodak Elite 100
สถานที่: จำไม่ได้ หลงทางอยู่ (- -"
ภาพ: Lost dog

หมาหลงทางไม่ใช่เรื่องแย่ๆ หรอกครับ
บางทีมันอาจหมายถึงการก้าวเดินออกจากทางที่เคยคุ้น
เดินไปบนถนนเส้นใหม่ๆ หนทางใหม่ๆ
โดยที่ไม่รู้ว่าจะสู่ที่ใด

บ่อยครั้งที่ผมเดินทางโดยไม่ได้วางเป้าหมายชัดเจน
เมื่อโลกมันก็หมุนของมันไปเช่นนั้น
บ่ายวันหยุด ผมกระโจนขึ้นรถประจำทางแปลกหน้า
ไม่รู้ว่าหนทางที่รถคันนั้นวิ่งผ่านคือที่ใดบ้าง?
แต่ก็ทะยานขึ้นไปแล้วเสพ-ซับเอาเอง

ผมชื่นชมหมาที่หลงทาง
เชื่อเอาเองว่า หมาหลงทางยังพึ่งพาประสาทสัมผัสเหนือชั้นได้
ที่ใดมีอาหาร ที่ใดมีสิ่งน่าสนใจ และที่ใดมีคนที่เข้าใกล้ได้
เชื่อว่า มันเอาตัวรอดได้

หลายครั้งของการออกเดินทางก็เป็นเช่นนั้น
ผมโบกรถและขึ้นรถลงใต้ครั้งแรก ไม่มีสิ่งใดพึ่งพาได้มากไปกว่า
แผนที่ ผู้คนบนหลากทางที่พานพบ
โชคดีอาจเป็นของผมที่พ้นผ่านและดำรงอยู่ได้
ยอมรับว่าใจหวั่นในบางคืน นอนเต็นท์ริมหาด
จะมีใครมาปล้นมาทำร้ายหรือไม่นะ?
แล้วก็ปลบปลอบตนเองว่า ไม่มีอะไรมากพอที่ใครจะยึดครองได้
หากต้องการสิ่งดก็ให้เขาไป...เท่านั้น

การเดินทางจะทำให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
จากประสบการณ์มันเป็นเช่นนั้นเสมอ
ทั้งภาพต่อสิ่งรอบตัว คนอื่น และตนเอง

ชีวิตเองก็ไม่ต่างจากนั้นกระมัง...
บางทีเราหวาดกลัวกับหนทางที่ล้วนไม่มั่นคง
หนทางที่ไม่รู้ว่านำไปสู่ที่ใด...
หนทางของชีวิต ใครมันจะรู้ล่วงหน้าได้
ถึงวางแผน กางแผนที่ และกำหนดตารางก็ตาม
บางทีความหวาดหวั่นอาจน้อยลงไป
เมื่อเราออกเดินไปแล้ว สัมผัสมันบนเส้นทางนั้นเอง
ออกไปเป็นหมาหลงทาง...

หากประสาทสัมผัสต่อผู้คนไม่มืดบอด
เราคงได้พบกัน...หวังว่านะ (- -"

Tuesday, July 03, 2007

หนึ่งวัน ใน หนึ่งวัน

สถานที่: ท่าช้าง ศิลปากร
กล้อง: วาสลีน
ฟิล์ม: ขาวดำโฟมา
ภาพ: ลุงเก็บขยะคนเดิมยังอยู่ที่มุมถนนมหาราชเช่นทุกครั้งที่ผ่านไปในยามสุดสัปดาห์ ประทังชีวิตด้วยการขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บมาได้


วันหนึ่งในชีวิตของเราอาจจะได้พบเจอเรื่องราวใดๆ มากมาย บางเรื่องราวซ้ำซากกับเมื่อวาน ผมตื่นนอนมาฟังเสียงกร่นด่าของนักวิจารณ์ข่าวหลากหลายสถานี หลังมื้อเช้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน อินเตอร์เน็ตถูกต่อในบางครั้ง โทรทัศน์ดำเนินไปเช่นเดิมทุกวัน รายการผู้หญิงฯ รายการบันเทิง ข่าวเที่ยง

บางครั้งมื้อกลางวันใต้หอพักเป็นที่พึ่ง...
หลังเวลาข้าวเรียงเม็ด ผมนั่งอ่านหนังสือสำหรับวิทยานิพนธ์ต่ออีกสักพัก แล้วเปิดโทรทัศน์อีกครั้งหลังบ่ายสาม ซี่รี่ย์ทำอาหารทางช่องเจ็ด แล้วสนทนากับตัวเอง

เปิดคอมพ์ฯ อีกครั้ง พิมพ์เอกสารที่อาจจะมีประโยชน์บ้างในการทำวิทยานิพนธ์ (หวังว่านะ- -") เข้าอินเตอร์เน็ต เช็คเมลล์ ส่งงานหรืออ่านบล็อก...จวบเย็นดูข่าวเย็นช่องสาม มองหาข้าวเย็นในเวลาไล่เลี่ยกับเปาบุ้นจิ้นมาตัดสินคนร้าย

วันบางวันในช่วงหลังจากหยุดงานประจำ ดำเนินไปเช่นนั้น ก่อนพ้นค่ำจะนอนอ่านหนังสือได้ในบางคืน

วันนี้ผมออกจากห้องไปเวลาเที่ยงวัน เดินตลาดแถวหอพัก ชีวิตหลากหลายยังดำเนินอยู่ที่นั่น หลายคนบ่นถึงการยึดทรัพย์ที่ไม่รู้เงินไปอยู่ที่ใคร คิดถึงหน้าเหลี่ยมผู้จากไปซื้อทีมฟุตบอล บางคนหัวเราะหลีกเลี่ยงบทสนทนาจากแม่ค้าที่ปรุงข้าวให้อยู่ คนขายอาหารเมื่อมื้อเช้า เริ่มเก็บข้าวแกงมัดเป็นถุงๆ แบ่งตั้งไว้ขายเป็นชุด เรื่องราวของงานอาจจใกล้สิ้นสุด พ่อค้าขายปลาเผาเพิ่งเริ่มงาน สำหรับปลาเผาในเวลาเย็น เขาตั้งหน้าตั้งตายัดไส้เครื่องปรุงตามสูตรในตัวปลา แม่ค้ารับซ่อมเสื้อผ้า เดินไปซื้อข้าวมานั่งกิน ร้านขายน้ำมาซื้อสัปปะรดไปปั่นน้ำผลไม้ สุนัขสองสามตัวนอนหลบแดดยามเที่ยง ลูกแมวยังซนและปีนป่ายที่ต่างๆ เช่นเคย ผมพกกล้องออกไปด้วยแต่ไม่ได้บันทึกอะไร ผมเลือกจะบันทึกในด้วยคำบรรยายในหัวมากกว่า

ชีวิตดำเนินไปอย่างนั้น หลายชีวิตขณะที่หายใจเข้า ความทุกข์ของค่าเช่าบ้าน ค่านมลูก ค่าข้าว ค่าใช้จ่ายนานาประการ ตะกายเข้าโพรงจมูกไปสู่ภายในด้วย
หายใจออก นำความสุขในแต่ละวันผ่านพ้นไป เสียงหัวเราะกับรายการโทรทัศน์จางไป

ในหนึ่งวัน หนึ่งวัน หนึ่งวัน ผ่านพ้นไปอีกครั้ง... ใครบางคนบอกว่าชีวิตคนเราก็มีอยู่ไม่เกินสองหมื่นกว่าวัน เมื่อหนึ่งวัน หนึ่งวัน ผ่านไป ไม่ช้าคงเดินทางไปใกล้วันที่สองหมื่นไปทุกที ใครจะอยู่ถึงวันนั้นบ้างก็ไม่รู้สิ...

ในช่วงชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนอายุ 20-40 ปี
กว่าจะรู้ด้วยว่าแต่ละวันผ่านพ้น ก็อ้าว เฮ้ย! ครบปีแล้วเหรอว่ะ?
หากจดจำเรื่องราวทุกวันได้ก็คงดี
เพราะอย่างนั้นทำให้ทุกวันเป็นเรื่องน่าจดจำ
ทำให้เต็มที่แล้ว ก็เดินต่อไป
คงดีนะ...



ป.ล.
ก็บ่นกันไปน่ะเนอะ (- -") (^^)