the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Friday, April 27, 2007

ลัดสนาม ?

เคยเดินลัดสนามกันบ้างไหมครับ?

เมื่อเช้าผมเดินลัดสนาม
หลังฝนตก...





































เคยเดินลัดสนามไหม ?

Thursday, April 26, 2007

พิการ?

ฝนกำลังลงเม็ดอย่างหนัก...
เขาว่ากันว่าพายุฤดูร้อนกำลังเดินทางลง
มายังภาคกลาง

เมื่อวานลมฝนก็มา
วันนี้คาดว่ากว่าฝนจะซาเม็ดลงไป น้ำจากท่อระบายน้ำ
บริเวณหน้าหอพักคงเจิ่งนอง และเอ่อขึ้นท่วมขึ้นมาถึง
ระดับหัวเขาเช่นเคย...

แดดระอุหลายวันที่ผ่านมา เปลี่ยนปรับไปตามสภาพแวดล้อม
หลังจากมีผู้สูงอายุจากไปด้วยสาเหตุของการเป็นลมสองคน
ไม่ช้าฤดูฝนคงย่างกรายมาอีกหน
แต่กว่าจะถึงวันนั้นตาดว่า ฤดูร้อนคงยังทำหน้าที่แข็งขันต่อไป

วันนี้...
หลังเลิกงานพบเจอเรื่องราวที่ทำให้คิดถึง
ประเด็นเดิมๆ เกี่ยวกับความพิการที่เคยได้ยินมา
รถเมล์วิ่งผ่านป้ายหนึ่ง
ชายรูปร่างพิการเหมือนน้องทรายที่เป็นนักแสดงตลกก้าวขึ้นรถมา
ผมไม่กล้าสบตา และมองท่าทางของเขาเกรงว่าจะทำให้เขารำคาญ
และเป็นการเสียมารยาท

แต่กระนั้นผมก็ยังลอบต่าตัวเอง
เพราะเมื่อเขานั่งลงแล้วผมแอบมองท่าทางของเขาพยายาม
จดจำตามนิสัยส่วนตัวที่ชอบแอบร่างคำพูดอธิบายบุคลิคของใครต่อใครลงในสมอง
คิดว่าหากเป็นตัวเราจะเขียนถึงเขาคนนั้นๆ ว่าอย่างไรบ้างนะ

ชายวัยราวสี่สิบกว่าๆ สวมแว่นสายตา
ศีรษะล้าน แต่ยังมีผมสองสีเหลืออยู่ทางด้านข้างและท้ายทอย
รูปร่างของเขาประหลาดตั้งแต่สายตามองไปครั้งแรก
ช่วงลำตัวเหลือสั้นเพียงหนึ่งในสามของความสูงร่างกาย
หลังงองุ้มเพราะกระดูกสันหลังบิดและปูดโปนออกมาทางข้างหลัง
เสื้อเชิ้ตสีครีมที่ยับย่นยิ่งขับเน้นให้เห็นช่วงอกที่หายไปพร้อมกับลำคอ
ศีรษะเสมือนติดอยู่กับไหล่ทั้งสอง เขาสวมกางเกงสีดำ
เข้าใจว่าจะต้องสั่งตัดมาเป็นพิเศษ เพราะบั้นท้ายของเขา
โค้งงอ และบิดออกอย่างผิดรูปเช่นกัน
ช่วงขาของเขายาวมากเป็นพิเศษ จังหวะก้าวเดินคล่องแคล่ว
หลังผ่านชีวิตมาเนิ่นนาน เรื่องราวปกติสามัญเช่นนี้
ไม่ใช่ความลำบากมากเท่าที่สายตาของคนภายนอกอย่างผมมองเข้าไป

เขาลงรถไปก่อน ผมจะลงในอีกสองป้ายถัดมา
ผมใช้เวลาเกือบทั้งหมดบนรถเมล์ปรับอากาศเย็นฉ่ำมองออกไปภายนอก
แต่กลับไม่พ้นความคิดที่วนอยู่ภายใน หลายเรื่องประเดประดัง
หวังเข้ามาร่วมสนทนาพร้อมกันภายใน

บางภาวะผมเรียนรู้รับทราบจากการเติบโตมา
คนพิการหลายคนโดยผ่านสื่อนั้น ดำรงชีวิตได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
คนพิการ (ตามการนิยามทั่วๆ ไป) ได้รับการนำเสนอเพื่อจะบอกว่า
เขาไม่ได้แตกต่างออกไป แต่ในการเน้นย้ำเช่นนั้นแบบในสื่อ
บางก็เหมือนเป็นการเน้นย้ำความแตกต่างให้ปรากฏขึ้นไปอีก
ผมเดินผ่านวัดหัวลำโพงในยามค่ำหลายครั้ง
ขอทานข้างหน้ามูลนิธิร่วมกตัญญูหลายคนไม่มีส่วนใดภายนอกพิการเลย
(คำถามผุดขึ้นอีก แล้วความพิการมีแต่สิ่งที่ปรากฏชัดเท่านั้นหรอกหรือ?)
หลายคนบริเวณนั้นมีเสื้อผ้าชุดใหม่มาในทุกวันที่เราสบตายามเดินผ่าน
บางคนหน้าตาบูดบึ้งไม่พอใจกับจังหวะชีวิตที่ดำเนินไป
แน่นอนแหละใครจะพอใจที่ต้องมานั่งขอทาน...

ผมจะรู้สึกมากน้อยเพียงใดในใจ
หากต้องไปนั่งในตำแหน่งเดียวกับพวกเขา TwT

สองสามเดือนมานี้
ใต้หอพักมีเด็กอ่อนเติบโตขึ้นมาสองสามคน
น้องนุช น้องแตงโม และอีกคนไม่ทราบชื่อยังนอนแบเบาะอยู่เลย
น้องนุชโตมาก่อนใครเขา ตอนนี้ก็น่าจะขวบกว่าๆ แล้ว
ผมชอบหยุดยืนดู เวลานุชเคลื่อนไหว แล้วก็เล่นอะไรสักอย่าง
นุชมันน่ารักดี บางทีตอนเช้าๆ ผมออกไปทำงาน
นุชยังเมาขี้ตา ออกมาเดินเล่นในชุดนอนอยู่เลย
บางวันนุชก็ชอบไปนั่งเล่นกับแตงโม ซึ่งเด็กกว่ามาก
แตงโมยังพูดอะไรไม่ได้ แต่เหมือนทั้งสองคนสื่อสารกันได้
ในความเงียบและบทสนทนาในใจ

พ่อกับแม่ของนุช ช่วยกันขายข้าวเหนียว หมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ส้มตำ คอหมูย่าง อยู่หน้าหอ
เมื่อเลิกงานกลับมาผมจะเห็นแต่ไกลว่า พวกเขาเริ่มตั้งเตาไฟกันแล้ว
บางโอกาสก็ได้อุดหนุนกันบ้าง โดยมีนุชวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ
หลายคืนในจำนวนที่ผมเดินผ่าน นุชเล่นอยู่จนดึกดื่นทุกที
การได้มองเห็นเด็กๆ เติบโตมาโดยยังไม่รู้เดียงสา
มันก็สร้างรอยยิ้มได้ดีเหมือนกันนะครับ...


เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา
ผมไม่เห็นพ่อกับแม่ของนุชตั้งร้านค้ามาสองสามวันแล้ว
ไม่ได้เห็นนุชและแม่ในบริเวณหอพัก
หลังเก็บความสงสัยมาเกือบอาทิตย์
ผมก็เลยได้ถามพี่อีกคนหนึงที่มีลูกสาวรุ่นเดียวกับนุชว่า
นุชหายไปไหน?
(ลืมบอกไป เด็กรุ่นที่โตมาพร้อมๆ กันกับนุช
สองสามคนนั้น เป็นเด็กหญิงทั้งหมดเลยนะ)

พี่เขาบอกว่า นุชกับแม่กลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย
คงกลับมาอีกทีหลังสงกรานต์

ความทรงจำเกี่ยวกับคำตอบนี้ไม่ได้หายไปไหนนะครับ
เพียงแต่หลังสงกรานต์มาเกือบอาทิตย์แล้ว ผมยังไม่เห็นวี่แววของนุชกับแม่เลย
หลายคำถามในใจเริ่มถากถางมาอีกแล้ว ประมวลผลจากเรื่องเล่าเคยพบ
พ่อของนุชทำไมไม่ไปด้วยกัน? หรือเขาทะเลาะกัน?
เขาอาจจะเลิกกัน? พ่อของนุชชอบเล่นพนันบอลอาจทำให้มีปัญหาครอบครัว?
แล้วนุชล่ะ ในนาทีนั้น ยอมรับว่าผมพิพากษาพ่อนุชซะแล้ว
ทำให้แอบไม่พอใจขึ้นมาทันที

(ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ เรื่องแบบนี้หากมันเกิดขึ้น
ปัจจัยนานาประการคงมีผลมากกว่าข้อสังเกตของคนภายนอกอย่างผม)

วันนี้ หลังลงรถเมล์แวะซื้อน้ำส้มสำหรับไว้ดื่มเช้าพรุ่งนี้
เดินเข้ามาซอยในใจยังคิดถึงเรื่องราวของความพิการต่างๆ ที่สนทนาภายใน
ความพิการคืออะไร เพียงอาการไม่ครบสามสิบสองเท่านั้นหรอกหรือ?
คนพิการในนิยามที่ว่า ทำไมหลายคนสามารถหนัดยืนอยู่ได้
พี่คนที่หลังคดอย่างน้องทราย แต่งกายด้วยชุดพนักงานบริษัท
เขาเดินได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่หวั่นไหวต่อสายตาของใครๆ
มันทำให้ผมนึกถึงพี่สาวคนหนึ่ง สมัยที่ยังทำงานร้านเช่าการ์ตูนที่เชียงใหม่

พี่เขาเดินไม่ได้อย่างคนทั่วไป จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าพยุงใต้รักแร้ทั้งสองข้าง
บางครั้งก็มากับแฟน แต่บางครั้งก็สามารถมาคนเดียวได้
แต่ทุกครั้งที่พบกัน ผมไม่เคยสังเกตเห็นความหดหู่ในดวงตาของพี่เขาเลย
มีแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า และดวงตา เสียงหัวเราะของพี่เขา
ทำให้บรรยากาศในร้านมีความสุขขึ้นมาด้วย...
อาจเป็นจิตใจที่ไม่ยอมแพ้...
ที่ทำให้ชีวิตเขาเต็มเปี่ยม และแน่นอนคนรอบข้างในครอบครัวก็สำคัญ

เมื่อเดินพ้นหัวถนน
มองเข้าไปหน้าหอพัก ร้านค้าที่ไม่ได้เห็นมาเกือบหนึ่งเดือน
กำลังก่อไฟ และตั้งขาย ชายคนนั้นง่วนอยู่หน้าเตา
ผู้หญิงอยู่หน้าครก และเด็กหญิงวิ่งเล่นไปมา

แม่และนุชกลับมาแล้ว ^^

สุดท้ายอาจเป็นจิตใจผมเองที่พิการ
เผลอเลอพิพากษาเรื่องราวจากภายนอกทั้งหมด


ข้างนอก - ฝนหยุดตกแล้ว...


ป.ล.




นี่รูปของน้องทราย นักแสดงตลกคนที่เอ่ยอ้างถึง
เมื่อมองไปที่ชีวิตคนๆ หนึ่ง ใครมีอำนาจอวดอ้าง
หัวเราะใส่ชีวิตใคร? ใครกัน?

แต่กระนั้นผมคิดว่า
หากได้ดูเขาแสดงตลกในครั้งต่อไป เมื่อเขาแสดงได้ตลก
ผมก็คงยังหัวเราะอยู่ คิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่ได้หัวเราะความพิการในตัวเขา
อาจเป็นความพิการในตัวผมเอง...
และหากเสียงหัวเราะของผมให้ความหมายของการมีชีวิตของใคร
รู้สึกดีกับการกระทำของเขา
มันก็ควรจะแบ่งปันกันไปมิใช่หรือ?

เขียนเสร็จ 20.12 นาฬืกา วันเดียวกัน

Monday, April 23, 2007

ฤดูร้อน...ในความทรงจำ

แดดระอุ บนพื้นถนน
เหมือนละลายภาพเบื้องหน้าไปทุกขณะ
บางครั้งเมื่อมองออกไปไกลๆ เหมือนมีมิราจเกิดขึ้นทั่วไปหมด

ความทรงจำเกี่ยวกับฤดูร้อนบรรจุเรื่องราวใดไว้บ้างนะ

สำหรับบ้านที่มีโอ่งน้ำหรืออ่างน้ำที่ใช้ตักอาบ
การอาบน้ำในเวลากลางวันเป็นความสุขล้นเหลือ
น้ำที่นิ่งอยู่ในโอ่งตั้งแต่เมื่อคืนยังรักษาอุณหภูมิไว้ได้ดี

ครั้งหนึ่งที่บ้านผมยังใช้ห้องน้ำที่สร้างอยู่นอกบริเวณบ้าน
ผนังห้องน้ำทำจากสังกะสี ที่ก่อโครงไม้ยึดไว้เท่านั้น
รอบๆ ข้างคือ ต้นไม้หลายชนิด ทั้งขนุน ต้นกล้วย
และไม้ในกระถางที่มาวางอิงแอบอาศัยความเย็นของโอ่งน้ำ

โอ่งทำมาจากถังน้ำมันสองร้อยลิตร
พ่อใช้ปูนฉาบผิวด้านในของตัวถังแล้วทำเป็นโอ่งสำหรับใส่น้ำ
ทาสีเขียวอ่อนให้กลมกลืนไปกับสภาพรอบข้าง

ท่ามกลางฤดูร้อนวันนี้
ผมนึกถึงห้องน้ำหลังนั้นขึ้นมา
ท่ามกลางความทรงจำเกี่ยวกับฤดูร้อนนานาประการ
ของมะม่วงสุก คุณย่า ลมร้อน วันหยุด และปิดเทอม

ฤดูร้อนมาพร้อมกับช่วงเวลาของการได้อยู่บ้านในวัยเด็ก
เพราะปิดภาคการศึกษาเพื่อนๆ หลายคนหายไปจากชีวิตของโรงเรียน
เราได้กลับมาอยู่บ้าน และอยู่กลับตัวเองอีกครั้ง...

สมัยเด็กฤดูร้อน
ผมชอบนอนเอาแนบกับพื้นบ้านที่เป็นปูน
บ้านชั้นสองที่สร้างจากไม้ตอนกลางวันจะร้อนมาก
นอนเล่น นอนอ่านหนังสือ ดูทีวีไปอย่างเย็นอุรา
บางครั้งพ่อจะเดินจากครัวมาพร้อมกับยำมะม่วง
ต้นที่ปลูกในบ้าน พ่อฝานเนื้อมะม่วงเปรี้ยวออกเป็นแผ่นบางๆ
สีเขียวอ่อนนั้นซ่อนรสชาติเปรี้ยวจี๊ดไว้ภายใน
พ่อคลุกน้ำตาลและใส่น้ำปลามาเพื่อเพิ่มรสชาติให้มะม่วงจานนั้น
แม่ยกวัตถุดิบอาหารสำหรับมื้อกลางวัน เข้ามานั่งเตรียมในห้องเดียวกัน
เด็ดคะน้าไปก็ดูโทรทัศน์ไป คลุกเส้นก๋วยเตี๋ยวกับน้ำมันไป
ก็สนทนาใต้พัดลมตั้งโต๊ะตัวเดียวกันไป...

มื้อกลางวันก็ได้ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วกระทะใหญ่มากแล้ว

ช่วงเช้าของวันหยุดโทรทัศน์กินเวลาไปเกือบหมด
รายการเด็กๆ การ์ตูน พาเหรดกันเข้ามาทายทัก
โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์เช่นเดียวกับช่วงเปิดเทอม
คลับคล้ายว่าสมัยที่มีโทรทัศน์สีเครื่องแรกของบ้านนั้น
มีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันจากบ้านข้างๆ มานั่งดูการ์ตูนด้วยกัน

อากาศร้อน ทำให้เหงื่อออกเยอะ
ถ้าเหงื่อไม่ออกสิ เขาว่ากันว่าจะอันตรายเสียกว่า
วิธีการแก้ร้อนด้วยการอาบน้ำ ผมก็จำมาจากพ่อ
บางครั้งเพียงเข้าไปใช้น้ำราดตัวเพื่อคลายร้อนไม่ได้เป็นการอาบน้ำ
แล้วออกจากห้องน้ำมาทาแป้งเย็น
สมัยนั้นที่บ้านจะใช้แป้งตรางู ส่วนพ่อจะใช้ชาวเวอร์ ทู ชาวเวอร์
(ถ้าหากฉันวอนเธอให้อยู่... นานอีกหน่อยเธอค่อยไป...)

ถึงร้อนระอุ ในสมัยนั้นผมก็ชอบฤดูร้อน
การได้ออกไปอายน้ำแล้วมองอะไรเล่นรอบข้างๆ มันก็เพลินดี
กลับมาที่ห้องน้ำที่สร้างอยู่นอกบ้าน
(ที่จริงที่บ้านมีห้องน้ำอีกสองสามห้อง แต่ไม่ค่อยใช้อาบน้ำกัน)
อาศัยร่มของต้นมะม่วง ขนุนคลายร้อนไปได้เยอะ ตอนนั้นมะพร้าว
ก็ยังยืนต้นสูงให้ลูกและร่มจากทางมะพร้าวแก่พื้นที่บริเวณนั้น
เครื่องใช้สำหรับอาบน้ำวางอยู่บนโครงไม้ที่ใช้ยึดสังกะสี
พื้นห้องน้ำใช้ซีเมนต์เทพื้นให้แข็งแรง ทางเดินเข้านั้นใช้เศษไม้
วางต่อๆ กัน ประโยชน์ของห้องน้ำนี้คือการรดน้ำต้นไม้ไปในตัวด้วย

การละเล่นในห้องน้ำมีตั้งแต่การเล่นใช้ขันน้ำ
คว่ำแล้วดักอากาศเพื่อให้เกิดแรงดัน แล้วก็กดขันน้ำลงไป
ฝืนกับอาการพยายามลอยขึ้นมาของขันน้ำ
แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยอากาศให้ลอยขึ้นมาเป็นลูกกลม
เพื่อแตกกระจายตัวบนผิวน้ำ บางครั้งก็ปล่อยลอยขึ้นมาทีเดียวทั้งหมด
เกิดเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ สนุกสนานดี

ไม่งั้น ผมก็จะเล่นวาดมือไปในน้ำ
การละเล่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากหนังจีนสมัยนั้น
การได้วาดมือเป็นท่าทางต่างๆ ในน้ำนั้นมันเห็นเป็นภาพดี
แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ามีอะไรต้าน และออกมาจากมือด้วย
ความที่สมัยนั้น โอ่งนานจะล้างทำความสะอาดที
ตะกอนต่างๆ ที่มากับน้ำหรือฝุ่นละอองในอากาศที่ตกสู่ผิวน้ำ
ได้ตกตะกอนแล้วนอนก้นอยู่ข้างล่าง
บางครั้งผมก็สนุกกับการรวบรวมพลังแล้วปล่อยคลื่นน้ำ
เพื่อทำให้ตะกอนเหล่านั้นลอยตัวขึ้นมา
(ในหัวนั้น เหมือนว่าผมสามารถปล่อยภายในได้เทียว)
แต่การละเล่นชนิดนี้ ต้องเล่นเป็นลำดับท้ายๆ
เพราะหลังจากนั้นน้ำในโอ่งก็จะขุ่น ตะกอนคละคลุ้งไปทั่ว
เดือดร้อนคนที่จะอาบน้ำคนต่อไปต้องรอให้ตกตะกอน
หรือนำสารส้มมากวนน้ำเสียก่อน

บางครั้งตัวการ์ตูนโปรดๆ ก็ได้โอกาสสัมผัสน้ำด้วย
โลกในจินตนาการพาชีวิตมาให้ตัวการ์ตูนเหล่านั้น
(วันหลังจะเขียนเล่าเรื่องพวกนี้ดีกว่า - แค่วันนี้ก็แตกประเด็นไปเรื่อยแล้ว)
กว่าจะอาบน้ำเสร็จนิ้วมือ นิ้วเท้าก็เปื่อยไปหมดแล้วล่ะครับ

ฤดูร้อนยังทำให้คิดถึงคุณย่าด้วย
สมัยนั้นในขณะที่แม่ขนข้าวของเข้ามาเตรียมครัวในบ้าน
ย่ากลับคลุกอยู่กับครัวหลังบ้าน หน้าเตาถ่าน บางครั้งเพลงจ้อยซอ
ก็ดังขึ้นมาจากวิทุยของย่า สลับไปกับเทผธรรมะจำพวกตายแล้วไปไหนของป้า
อาหารประจำฤดูร้อนของย่าคือ มะม่วงสุกกับข้าวเหนียว บางทีก็ข้าวสวย
สมัยเด็กแปลกใจดีที่ได้เห็นย่ากินข้าวกับมะม่วงสุก หรือแตงโม
โตมาถึงรู้ว่ามันเย็นๆ อร่อยๆ ดีเหมือนกันนะ
เรื่องของกินของคนแก่เนี่ย พ่อพูดเสมอว่าก็คนแก่เขากินมาทุกรสแล้ว
แก่มาจึงชอบกินอะไร เผ็ดๆ ขมๆ หรือบางทีก็อาหารหน้าตาแบบนี้

คิดถึงย่าขึ้นมาซะงั้น...

ลมร้อนมาเยือนบางปีนั้น ผมได้เล่นว่าว
ตรอกซอยแคบของผมนั้นเป็นทั้งที่หัดขี่รถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน
และวิ่งว่าว เพื่อให้ลอยสูงขึ้น
บ้านของเพื่อนบ้านมีว่าวตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง เขาไว้ใช้แข่ง
ผมหัดทำว่าวก็จากที่บ้านหลังนั้นแหละครับ ใช้กระดาษแก้วแต่งให้สวยงาม
ทำโครงจากไม้ไผ่ แต่ขั้นตอนทำอย่างไรบ้างนั้น
ลืมไปหมดแล้ว รู้สึกเสียดายจริงๆ...

บางครั้งผมก็นิยมลมร้อนที่พัดมาเอื่อยๆ
ยามเมื่อนอนอ่านหนังสือบนแคร่หน้าบ้าน
แสงลอดผ่านใบมะขามลงมา เสียงของสิ่งต่างๆ ยังไม่วุ่นวายนัก
เสียงโทรทัศน์ยังไม่ดังออกมาจากทุกหลังคาเรือนเหมือนสมัยนี้
แมลงกินน้ำหวานบางตัวยังสาละวนกับต้นคุณนายตื่นสาย
แมลงปอวิ่งวนเกาะต้นไม้ใบงามที่จำชื่อไม่ได้
ตามต้นโหระพาบางครั้งก็พบแมลงเต่าทอง
ผมชอบลมร้อนอย่างนั้น เมื่อลมร้อนพัดมา แล้วผมยังอยู่ในร่มไม้
ชีวิตดูไหลเรื่อย เอื่อยและช้า แต่ดำเนินไป

บ่ายๆ ถ้าโชคดี รถไอติมจะผ่านหน้าบ้าน
เสียงกระดิ่ง กริ๊งๆ เป็นเสียงสวรรค์ ผมวิ่งละล้าละลัง
บอกพ่อ หรือแม่ว่าไอติมมา เพื่อขอการอนุมัติสตางค์
บางครั้งต้องรถให้รถไอติมเลยไปก่อนแล้วไปดักรอตอนรถกลับออกมา
เพราะท้ายซอยเป็นซอยตัน...
รถไอติมในสมัยนั้นมีทั้งที่เป็น ไอติมกะทิตักใส่ขนมปัง ใส่โคน
กับไอติมแท่งสเยบด้วยไม้แบนๆ ยี่ห้อกวางทอง
รถไอติมแท่งเนี่ยจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีฝาปิดทางด้านบน
ข้างในแบ่งเป็นช่องๆ หากเก่าไปกว่านั้นก็จะเป็นทรงกระบอก
ที่ใช้สะพายหลังเดินขาย ลักษณะเหมือนกระติกด้านนอกหุ้มด้วยหวาย

เวลารถไอติมผ่านมาในฤดูร้อนนั้น จำได้ว่าตลกดีที่
พอผมออกไปยืนรอรถไอติมกลับมาจากท้ายซอย บ้านหลายๆ หลัง
ในซอยจะออกมาวะเง้อดูรถไอติมเช่นเดียวกัน
บางบ้านไม่ทันใจก็เดินตามมาซื้อบริเวณหน้าบ้านผมเลย
(เพราะผมมักจะดักไว้ได้ก่อน) ไอติมแท่งที่ชอบกินในตอนนั้น
ต้องเป็นรสกะทิที่เคลือบด้วยน้ำแข็งสีน้ำตาล ทำให้กรอบนอกนุ่มใน
พอกินส่วนที่กรอบมันไอติมทั้งแท่งก็แทบจะละลายหมดแท่งแล้ว
นอกจากรสที่ว่าแล้วในกระติกไอติมก็จะมี รสกะทิ รสถั่วดำ รสรวมมิตร
รสข้าวโพด รสใบเตย เท่าที่จำได้ก็มีเท่านี้อ่ะ ตกหล่นไปขออภัยด้วย

จบเรื่องราวว่าด้วยความทรงจำเกี่ยวกับฤดูร้อนเท่านี้ดีกว่า
ก่อนที่ทรงจำจะพาทัวร์ไปไกลถึงเรื่องการเดินทางในช่วงปิดเทอม
ห้องสมุดประชาชน และสงกรานต์ต่างถิ่น...ฯลฯ...

เรื่องเหล่านั้นคงได้บันทึกในสักวันแหละน่า ^^

ป.ล.
เขาว่ากันว่า 27 นี้จะร้อนที่สุดอีกแล้ว
เฮ้อ...เดี๋ยวร้อนก็อาบน้ำตอนกลางวันไม่ได้
เพราะอยู่ที่ทำงาน ถึงอยู่หอน้ำที่หอก็ใช้การสูบขึ้นไปไว้บนหลังคา
แล้วปล่อยลงมา อาบตอนเที่ยงเหมือนหมูโดนลวกเตรียมนำไปทำอาหารพิกล ^^

ป.ล.สอง
ภาพถนนคลุ้งฝุ่น แดดระอุ นึกถึง เพลงนี้ขึ้นมาเฉยเลย

Thursday, April 19, 2007

แวนโก๊ะ...

สี่ห้าปีก่อนหลังจากพ้นจากการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่เข้าไปฝังตัวนานเกือบหกปี
ผมตัดสินใจกลับบ้านเพื่อหยุดตัวเองไว้ รอห้วงเวลาของการเดินทางอีกครั้ง

ถึงแม้จะเป็นการกลับบ้าน
แต่ผมก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังที่เคยเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก
ไม่ได้อยู่บ้านที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วย
แต่เป็นบ้านตึกแถว...
มรดกจากยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ สมัยชาติชาย
ที่ทางบ้านยังต้องผ่อนมาจนทุกวันนี้
จำได้ว่าสมัยนั้นทุกคนต่างเชื่อกันว่าเศรษฐกิจจะบูม
เพราะมีโรงแรมขนาดใหญ่เปิดขึ้นบริเวณนั้น
ถนนสุโขทัย-เมืองเก่า จะฟู่ฟ่า
ตึกแถวจำนวนมากสร้างขึ้นเพื่อรับการนี้

หนึ่งในจำนวนหลายคูหา
ตกมาถึงครอบครัวผม ตึกแถวที่ปัจจุบันใช้เก็บหนังสือต่างๆ
และสมบัติบ้าจากการใช้ชีวิตระหกระเหินมานานครึ่งทศวรรษ

ผมเลือกปักหลักอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่บ้านอีกหลังก็อยู่ห่างไปไม่เกิน
สิบสองกิโลเมตร ผมเลือกอย่างเห็นแก่ตัวที่จะอยู่คนเดียว...
แล้วเดินทางกลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ด้วยรถมอเตอร์ไซค์
คันเดียวกับที่ขับตระเวณทั่วเชียงใหม่เมื่อกาลนั้น
หลายครั้ง เมื่อนึกย้อนไปก็รู้สึกผิดอยู่เสมอ
ผมเป็นคนที่ไม่อยู่ติดบ้านเกิดเลย
ในหลายครั้ง ผมบอกตัวเองว่า ผมเป็นคนไม่คิดถึงบ้านเมื่ออยู่ไกลบ้าน
แต่อยู่บ้านแล้วจะนึกถึงบ้านในความหมายของรูปลักษณ์จากความทรงจำ
และคิดถึงมัน

กระนั้น ช่วงวัยที่ปรารถนาแสวงหา ผมเลือกอยู่คนเดียว
อาจเพื่อเคี่ยวกรำตัวเองให้หนักขึ้น...
อาจเพื่อเท่านั้น...

หนังสือหลายเล่มในตู้หนังสือของบ้านนา
(บ้านตึกแถวตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านนา)
เป็นหนังสือที่ผมยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านแล้วแต่ยังไม่จบทั้งเล่ม
หนังสือที่ช่วงวัยเรียนคิดว่าซื้อมาก่อนเพื่อที่ต่อไปในชีวิตจะได้มีเวลา
นอนและอ่านมันมากขึ้น มากขึ้น....

ผมใช้ชีวิตในแต่ละวันที่บ้านนา
ด้วยการเริ่มต้นวันจากการตื่นแต่เช้า
เพื่ออกไปเดินๆ วิ่งๆ บนถนนสายบายพาสอ้อมไปตาก
ยามเช้าในช่วงเวลานั้น ฟ้ายังไม่สว่าง บางเช้าก็มีเพียงแสงน้ำเงินอมส้ม
ไฟถนนยังสาดแสงให้การข้ามถนนของผมปลอดภัย
อาจถือได้ว่าช่วงชีวิตช่วงนั้นคุณภาพชีวิตค่อนข้างดี
เพราะได้ตื่นแต่เช้า และได้ออกกำลังกาย

ผมเดินๆ วิ่งๆ ไปจนสุดถนนเป็นสามแยก จึงหันหน้ากลับ
เพื่ออาบน้ำ แล้วควบรถมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อข้าวเช้าที่ตลาดเมืองเก่า
กิจกรรมยามเช้าแล้วเสร็จมานั่งดูโทรทัศน์ทันดูข่าวตอนเช้าทุกวัน

สายๆ ก็เป็นช่วงเวลานั่งโต๊ะแล้วดูว่าวันนั้นมีอะไรทำบ้าง
ส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นผมจะนั่งเขียนจดหมายหรือโปสการ์ดหาใครต่อใคร
แล้วก็อ่านจดหมายที่ใครต่อใครเหล่านั้นส่งกลับมา
นอกเหนือจากนี้ก็คือ ดูว่าเมื่อคืนอ่านหนังสือเล่มไหนค้างอยู่บ้าง
เพื่อจะติดพันไปตลอดบ่าย...

หนังสือเล่มหนึ่งในช่วงเวลานั้น คือ ไฟชีวิต ของเออวิง สโตน
เรื่องราวชีวประวัติของศิลปินนามวินเซ็นต์ แวนโก๊ะ
(ผมออกเสียงถูกต้องไม่เป็นอ่ะ เรียกแบบถนัดปากแล้วกันนะครับ)
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนว่ามีพลังในชีวิตขึ้นมากเลย
หรือว่ามันจะเติมไฟให้ชีวิตก็ไม่รู้...

ชายที่เดินเท้าข้ามระยะทางเกินร้อยกิโลเมตรท่ามอากาศหนาวเหน็บ
ชายที่เข้าไปทำงานในเหมืองถ่านหิน ยามหายใจเข้าไปแล้วมีลูกไฟลูกใหญ่เข้าสู่อก
ชายที่เริ่มทำงานศิลปะเมื่ออายุมาก... ไม่มีพื้นฐานมากนัก
ชายที่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานบำบัดจิต และวาดภาพ วาดภาพ วาดภาพ
แม้นแดดจะระอุร้อนเพียงใด เหมือนคนบ้าที่ยืนหน้าผืนผ้าใบจนฟ้าสลดไป
โลกของอิมเพรสชั่นนิสต์ กับชายที่ไม่เคยมีสิ่งไหนประสบความสำเร็จเลย
ไม่ว่าความรัก การงาน หัวใจตลอดช่วงเวลาที่เขามีลมหายใจอยู่
มีเพียงแสงสว่างจากน้องชายของเขาเท่านั้น...

ชายที่ตายไปอย่างสิ้นหวัง แต่งานของเขากลับจรรโลงโลกไว้
เรื่องราวของชายคนนั้นได้เข้ามาเติมไฟชีวิตให้กับหนทางร้างไร้

และเหมือนมีเรื่องราวซ้อนเรื่องราว
ยามอยู่บ้านนา ส่วนใหญ่ผมจะปิดประตูเหล็กหน้าบ้าน
แล้วอาศัยอยู่หลังโลกสีชาของกรระจกที่กั้นเป็นห้อง
เมื่ออ่านงานเรื่องนี้แล้วทำให้ปรารถนารู้สึกถึงแสงแดด สายลมระอุ
ใบไม้ลู่ลมบ่าย ทำให้ผมเปิดประตูออกไปนั่งเล่นริมโอ่งน้ำหน้าบ้าน
แดดของเดือนเมษายนพามันเข้ามา

สุนัขตัวหนึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มต้นขี้เหล็ก
รูปร่างผ่ายผอม หอบหายใจสู้ความร้อน
ขนเหลืองออกส้มแดงไม่ทำให้ผมคิดอะไรในตอนแรก
แต่เมื่อมันลุกเดินเพื่อหลบรถที่วิ่งกินเข้ามาข้างถนน
ผมจึงระลึกถึงได้ว่าขนสีเหลืองออกส้มแดงนั้น
ทำให้ผมนึกถึงใคร...

มันลุกขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ
สองข้างหน้าพาตัวมันหยัดขึ้น โอนเอนเล็กน้อย
ก่อนที่สองขาหลังจะปรากฏกับสายตาของผม
ช่วงล่างตั้งแต่สะโพกของมันลงไปของมัน
ไม่สามารถใช้การได้ มันก้าวขาหน้าเพื่อนำพาร่างไป
เพียงเท่านั้น ผมก็ยืนยันกับตัวเองแล้วที่จะเรียกมันว่า
“แวนโก๊ะ”

ศิลปินเรืองนามชาวดัชต์คนนั้นกีมีผมสีแดง
แวนโก๊ะที่ท่อนล่างพิการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แถวหน้าบ้านผม
ผมพยายามเข้าใกล้แต่ เหมือนว่าแวนโก๊ะไม่ไว้ใจคนนัก
มันถอยหนีอย่างลำบาก ด้วยท่าทางเช่นนั้น
ทำให้ผมล้มเลิกที่จะเข้าใกล้มัน มีเพียงนำข้าวหรืออาหารมาทิ้งไว้
ให้มันใต้ต้นขี้เหล็กในบางวันเท่านั้น

หลังจากวันนั้น
ทุกวันผมจะมองหาแวนโก๊ะเสมอ
จำได้ว่าผมเขียนเรื่องราวของมันให้เพื่อนนักดนตรีที่อยู่เชียงใหม่
เรื่องราวของทั้งแวนโก๊ะในงานเขียนของเออวิง สโตน
และแวนโก๊ะ ผู้ไม่ยอมแพ้แห่งบ้านนา

เมื่อความหวังคลอนแคลน
หรือความฝันไม่มั่นคงเมื่อยืนอยู่ในโลกของความจริง
บางครั้ง... บางครั้งเท่านั้นแหละ
ผมจะย้อนคิดถึงแวนโก๊ะขึ้นมาได้
ซึ่งมันทำให้ผมมีเรี่ยวแรงมากขึ้นที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองศรัทธา
ผมไม่ได้กลับไปอยู่บ้านนามาหลายปีแล้ว
ป่านนี้ไม่รู้ว่าแวนโก๊ะพาเรื่องราวของมันไปสู่ที่ใดแล้ว
มีใครซับและทราบแรงดาลใจจากมันอีกไหม?
ผมไม่รู้...

มันอาจจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่มี
แต่มันก็มีชีวิตอยู่ในความระลึกถึงและเรื่องเล่านี้แล้ว