the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Friday, April 28, 2006

อโรคยา ปรมา ลาภา

เย้! เย้! เย้วววว!!

หายป่วยไข้ในวันศุกร์
การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐเสียจริง
หลังจากเร่งวันคืนให้ห่างหายจากโรคภัย
เพราะพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางไปเที่ยวอีกหน
ประสาชนชั้นกลางในเมืองหลวง
อาศัยวันหยุดแรงงาน ไปฉ่ำปอดซะงั้น

วันนี้ ศาลสามศาลจะประชุมกัน
หาทางออก ที่จะมีผลต่อประเทศ
หวังว่าผมคงไม่ต้องนอนสวดมนต์
ยกมือท่วมหัวอีกก็แล้วกัน

เผื่อจะหลงลืมว่าโลกนี้
ยังมีแสงแดด สายลม
ท้องทะเล ภูเขา แม่น้ำ ชาวประมง หอยเม่น
อาโทพอด ตัวสงกรานต์ ผีเสื้อกลางคืน
ปลาซีลาคานท์ หญ้าแห้วหมู ต้นรง พญาเสือโคร่ง
การเวก ดอกโมกข์ กระต่ายน้ำ ปลิง ทาก แมงมุม
เขียด ไส้เดือน มะเฟือง กระจับ หนูนา
เมียแคช โรนัลดินโญ่ เฮ้ย...ชักมากไป
เอาเป็นว่ายังมี อื่นๆ อีกมากมาย
นอกเหนือจากราคาน้ำมัน
ที่ต้องกรอกใส่รถ และปัญหาการเมือง
(แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องเติมน้ำมันเหมือนกันนี่หว่า)

หากการออกจากวิถีชีวิตปกติ
แล้วทำให้เขียนบทกวีได้สักบท วาดภาพได้สักภาพ
ได้หัวเราะ และยิ้มอีกหลายครั้งหลายหน
เราก็ควรออกเดินทางกันบ้างนะ
เพราะ หัวเราะทุกเวลา ปรมา ลาภา* ครับ

แล้วพบกันนะ

(*คัดลอกและหยิบยืมจากหนังสือของคุณวิลาศ มณีวัต)

Wednesday, April 26, 2006

ALWAYS sunset on third street


ขอบคุณการตัดสินใจทั้งหมดในวันนี้

หลังจากป่วยไข้มาสองสามวัน

ก็แค่ครั่นเนื้อครั่นตัว มีน้ำมูก
และเจ็บคอเท่านั้นเอง เมื่อเช้าก็เช่นกัน
หลังจากตื่นนอนตั้งแต่เช้า
เพราะนอนหัวค่ำกินยาแล้วก็นอน
ตื่นมากินข้าวกินยา
แล้วเปิดเนตเช็คข่าว
พระราชดำรัส อยู่พักหนึ่งก็ฝืนสังขารไม่ไหว
ตัดสินใจล้มตัวลงนอนตามฤทธิ์ยาอีกหน
ตื่นมาอีกครั้งเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว
อาการครั่นเนื้อครั่นตัวหายสิ้น น้ำมูกและเจ็บคอยังมี
แต่ไอมาเยือนมากกว่าเดิม

ใครบางคนบอกว่าไม่สบายต้องพักผ่อนเยอะๆ
แต่ใครบางคนก็เคยบอกเช่นกันว่า หากยังทำตัวเหมือนป่วยไข้ไม่สบาย
เราก็จะยังรู้สึกว่าตัวเองป่วยไข้ไม่สบายอยู่เช่นนั้น
ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอน ด้วยความเชื่อประการหลัง ความจริงก็เพียงตั้งใจ
จะเดินเท้าออกไปซื้อยาอมแก้ไอที่ร้านขายยาหน้าปากซอยเท่านั้น
แล้วก็อาจจะหาข้าวกลางวันกิน
จึงถือหนังสือ “กังฟู จอมยุทธ์หลุดโลก” ติดมือไปด้วย

จังหวะก่อนที่จะก้าวออกจากห้อง
เหลือบไปเห็นหมวกวางอยู่จึงหยิบติดมือมาด้วย

(ความจริงผมเป็นคนไม่ชอบใส่หมวก)
แต่เมื่อเดินไปถึงปากซอยหน้า สน.บางรัก

ร้านขายยาที่ตั้งใจจะออกมาซื้อดันปิด ทำให้เลือกเดินเข้าร้าน 7ELEVEN
ซื้อสเตร็ปซิลและยาอมเพื่อนชาวประมงอย่างละซอง
เปิดประตูออกมาก็เห็นรถเมลล์สาย 16 วิ่งผ่านหน้าไปจอดตรงป้ายหน้าร้าน
ชั่วขณะนั้นในหัวคิดเพียงว่าไปนั่งรถเล่นดีกว่า
นั่งอ่านหนังสือไปให้สุดสายแล้วค่อยนั่งกลับ (แหม..พ่อคนว่างงาน)
พอวิ่งขึ้นรถได้ยื่นแบงก์ยี่สิบให้กระเป๋าบอกว่า ลงสี่พระยา
แต่นึกขึ้นได้ว่า รถเพิ่งออกจากท่าสี่พระยานี่หว่า
กระเป๋าหูดีคนนั้นฉีกตั๋วให้เรียบร้อย ผมพลิกดูราคา 12 บาท

แล้วชะโงกหน้าไปถามกระเป๋าว่า 12 บาทลงที่ไหนครับ?
กระเป๋าหันมาตอบอย่างงงว่า “สยาม”
ถึงขณะนั้นผมก็ตัดสินใจว่า เอาว่ะ ไปดูหนังสักเรื่องก็ได้ว่ะ

ไปถึงลงป้ายที่หน้าโรงหนังสยาม ผมก็เดินดุ่มขึ้นไปดูโปรแกรม
กว่าหนังจะฉายก็รอบ 12.30 เดินวนดูว่ามีเรื่องอะไรเข้าโรงไหนบ้าง
Ice ages ก็ยังไม่ได้ดู Perhap love ก็น่าสน แต่เมื่อถึงเวลานั้นเริ่มฉุกคิดถึง
แล้วว่าผมไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดจากการ
ดุ่มเดินเข้าใส่ความคิดแวบแรกที่เข้ามาหา ตอนนี้ผมอยู่หน้าโรงหนังสยามแล้วนี่
หนังที่เข้าฉาย มีชื่อภาษาอังกฤษตัวโตเขียนว่า ALWAYS บนแผ่นโปสเตอร์รูปวาด
เหมือนใบโฆษณาสมัยก่อน

เมื่อเข้าไปอ่านใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นหนังญี่ปุ่น มีคำโปรยโฆษณาว่า

“คือบางสิ่งซึ่งกาลเวลาไม่อาจทำร้าย...
คือบางความทรงจำที่หัวใจจะไม่ลืม
เรื่องเล่าจากคืนก่อนวันเก่า ที่จะทำให้คุณหัวเราะและร้องไห้สลับกันไปในทุก 5 นาที”

ผมเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นรอเวลาเข้าโรงหนังได้ ก็พอดีมีโทรศัพท์จากน้องที่รู้จักกัน
แต่ผมลืมบอกว่าผมเปลี่ยนหมายเลขแล้วโทรมา

อุตส่าห์ไปถามหาจากเพื่อนผมแล้วโทรมาหา
อาจเพราะเรื่องงานเป็นเป้าหมาย แต่ผมก็ดีใจที่มีใครสักคนดิ้นรนค้นหาผม
ในขณะที่ผมหลงอยู่ในกระแสชะตากรรมที่ผมยินยอมให้พัดพา...

ผมเข้าไปดูและออกมาแล้ว ซึ่งมันทำให้อยากมาเขียนถึงและบอกใครต่อใครที่รู้จักให้
ไปดูกันเถอะ ผมชอบ ไม่อยากเล่าเรื่องราวว่าเป็นเช่นไร

เพราะหากเล่าผมคงเผลอเล่ารายละเอียดเล็กน้อยที่ผมชอบออกมาในตัวหนังสือ
ขออนุญาตนำคำโปรยในแผ่นพับมาลงให้อ่านแทน
(แต่สำหรับใครที่ได้ดูแล้ว อยากชวนคุยกันนะ)


“ALWAYS sunset on third street ใช้ฉากหลังเป็นกรุงโตเกียวช่วงปลายยุค 50
ขณะที่ “หอโตเกียว” ยังสร้างไม่เสร็จดี เนื้อหาของหนังเล่าถึงชีวิต ความฝัน
ความหวังและความรัก ของหลากหลายชีวิตที่อาศัยอยู่

บนถนนสายที่ 3 ในนครหลวงแห่งนั้น
ผู้คนเหล่านั้นมีทั้งเจ้าของร้านขายขนมที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนชื่อดัง
อดีตเกอิชาที่ผันตัวมาเปิดร้านขายเหล้ายาอาหาร
เจ้าของอู่ซ่อมรถซอมซ่อที่ฝันว่า
สักวันห้องแถวที่ทำมาหากินเล็กๆ ของเขาห้องนี้จะเติบโต
กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
เด็กสาวจากชนบทซึ่งเดินทางสู่โตเกียวพร้อมความฝันถึงความมั่นคงในชีวิต ฯลฯ”

ฉากของเรื่องเป็นสิบสามปีหลังสงครามโลก คือปี พ.ศ. 2501
หรือยี่สิบปีก่อนผมเกิด แต่เรื่องราวหรือความฝันในชีวิตต่างๆ
ไม่แตกต่างจากความทรงจำที่หลงเหลือในวัยเยาว์ของใครต่อใครในตัวผมนัก
ผมบันทึกบางข้อความลงมือถือเพราะไม่มีปากกาและกระดาษใดใกล้มือ
ทีวี รถราง ตู้เย็น หลังสงคราม 13 ปี แหวนแต่งงาน หอคอยโตเกียว...
รอบที่เข้าไปดูมีคนทั้งโรงไม่น่าถึง 20 คน ผมนั่งอยู่แถว N หน้าสุด
อาจเพราะผมไอ และมีน้ำมูกอยู่แล้ว ผมจึงได้ยินเสียงซื้ดน้ำมูกของผมดังเป็นระยะ
แต่พอสังเกตให้ดี เสียงจากข้างหลังผมก็ฟึดฟัดเป็นระยะเช่นเดียวกัน
เป็นการดูหนังอีกครั้งที่ผมหัวเราะเสียงดังและร้องไห้หน้าเหยเกได้เต็มที่

ออกจากโรงมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะบอกใครก็ได้ว่า
ชอบ ชอบหนังเรื่องนี้ไปดูกันเถอะ แต่ครั้นจะโทรไปหาใครก็เปลืองตังค์เกินไป
ผมออกไปยืนดูป้ายโฆษณาที่หน้าโรงบริเวณชั้นหนึ่งอีกครั้งก่อนกลับ
หางตาเห็นคู่รักคู่หนึ่งมาชี้ชวนกันหยุดอยู่ข้างๆ ด้วยอารมณ์อยากบอกใครก็ได้
ให้ไปดูหนังเรื่องนี้จึงหันไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นน้องผู้หญิงที่รู้จักกันในเชียงใหม่
มากับแฟน น้องก็ทำท่าตกใจ ดีใจใหญ่เลยที่พบกัน แต่ผมก็บอกเพียงว่า
ไปดูหนังเรื่องนี้เถอะ ชอบ บทสนทนาในช่วงสองนาทีคงมีมากกว่านี้
แต่ผมจดจำได้เท่านั้น จากกันโดยลืมถามว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ตามที่ควรถาม
เพราะผมน่ะ สบายใจแล้วทีได้บอกใครอย่างที่ตั้งใจ

ขอโทษ หากการเขียนวันนี้จะดูวกวน สับสน เพราะผมกลับมาถึงห้องก็เปิดคอมพ์
แล้วนั่งพิมพ์ทันที ตั้งใจจะเขียนรอบเดียวแล้วโพสต์ให้คนอื่นอ่านเลย
เพราะรู้สึกดีกับจังหวะชีวิตในวันนี้ โชคชะตาพาผมไปจนได้ดูหนังเรื่องนี้ พบใครต่อใคร
แน่นอน ผมยังคงไออยู่ตลอดเวลาที่พิมพ์นี้ แต่สุขใจพิกล

ปล. กลับมาห้องได้รับจดหมายจากไอ้น้องโอ จดหมายดีๆ ที่น่าดีใจ

ขอบใจมากนะน้อง

Monday, April 24, 2006

I LOVE YOU

I love you,
Not only for what you are
But for what I am
When I am will you.
I love you
Not only for what
You have made of yourself
But for what
You are making of me.
I love you
For the part of me
That you bring out;
I love you
For putting your hand
Into my heaped-up heart
And passing over
All the foolish, weak things
That you can’t help
Dimly seeing there,
And for drawing out
Into the light
All the beautiful belongings
That no one else had looked
Quite far enough to find.
I love you because you
And helping me to make
Of the lumber of my life
Not a tavern
But a temple;
Out of works
Of my every day
Not a reproach
But a song.
I love you
Because you have done
More than any creed
Could have done
To make me good,
And more than any fate
Could have done
To make me happy.
You have done it
Without a touch,
Without a word,
Without a sign.
You have done it
By being yourself.
Perhaps that is what
Being a friend means,
After all.

Roy Croft

ฉันรักเธอ
ไม่เพียงเพราะ ...เธอเป็นตัวเธอ
แต่เมื่อใกล้เธอ...ฉันเป็นตัวฉันด้วย
ฉันรักเธอ
ไม่เพียงแต่ทุกอย่างที่เธอทำกับตัวเธอเอง
แต่ทุกอย่างที่เธอทำให้กับฉันด้วย
ฉันรักเธอ
เพราะส่วนหนึ่งของฉัน
เธอได้มันไป
ฉันรักเธอ
เพราะเธอได้กุมหัวใจของฉันไว้
ช่วยขจัดความโง่เขลา...ความอ่อนแอ
ซึ่งเธอก็ต้องเห็นความมืดมนของฉันอย่างช่วยไม่ได้
และเธออดไม่ได้ที่จะต้องชี้ทางสว่างให้แก่ฉัน
คุณสมบัติที่งดงามทั้งปวงนี้
ไม่อาจมีใครมองเห็น
หรือไกลเกินกว่าใครจะพบ
ฉันรักเธอ
เพราะเธอกำลังช่วยสร้างชีวิตของฉัน
ให้พ้นจากชีวิตที่ไร้สาระ
หลังจากเลิกจากงานทุกๆวัน
มิใช่เข้าโรงเหล้า
แต่เข้าโบสถ์...
และมิใช่เพื่อรับการติเตียน
แต่เพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ฉันรักเธอ
เพราะเธอทำให้ฉัน
เชื่อมากกว่าความเชื่อใดๆ
ที่อาจทำให้ฉันเป็นคนดี
และมากกว่าพรหมลิขิตใดๆ
ที่ทำให้ฉันมีความสุข
เธอคือผู้กระทำ
โดยปราศจากการจับต้อง
ปราศจากคำพูด
ปราศจากสัญญาณ
เธอคือผู้กระทำ
ด้วยตัวของเธอเอง
และบางที...
นั่นคือความหมายของคำว่า
“เพื่อน” ก็ได้

รอย ครอฟท์
“กังหัน” พากย์ไทย

ชอบย่อหน้าแรก...
“ฉันรักเธอ
ไม่เพียงเพราะ ...เธอเป็นตัวเธอ
แต่เมื่อใกล้เธอ...ฉันเป็นตัวฉันด้วย”
เพียงแค่เชื่อว่าความรักควรมีสิ่งนี้อยู่ด้วย
ขอให้โชคดีครับ

Anti-ending
ผมยังคงด่าทอภาพคนหน้าเหลี่ยม
ในจอโทรทัศน์อยู่คนเดียวในห้อง
มองไม่เห็นแสงสว่างของหนทาง
กกต.เอย สว.เอย ไม่อยากจะหยาบคาย
แต่ผมก็เหมือนคนบ้าไปทุกที
เคยเป็นไหมที่ไม่เคยสวดมนต์เลยให้ตาย
นอกจากไปนอนในที่น่ากลัวคิดว่าจะมีผี
หรือถึงคราวอับจน
ไม่เคยเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนกระทั่งจนหนทาง
แต่คราวนี้ผมนอนยกมือท่วมหัวขอร้องพระเจ้า
ท่านนบีมูฮัมหมัด พระพุทธเจ้า พระสยามเทวาธิราช
สวดมนต์ทุกบทที่นึกออก ให้กับเรื่องราวเหล่านี้
...เหลือคำสุภาพคำเดียว แย่ครับ!

Sunday, April 23, 2006

เพื่อน

Image hosting by Photobucket

All men have their frailties
And whoever looks for a friend without
Imperfections will never find what
He seeks.

So long as we love, we serve.
So long as we are loved be others, I
would almost say we are indispensable;
and no man is useless while he
has a friend.

We are all travelers in the wilderness
of this world, and the best that we find
in our travels is an honest friend.

Robert Louis Stevenson


มนุษย์ทุกคนย่อมมีความอ่อนแอ
ผู้แสวงหาเพื่อนที่สมบูรณ์ที่สุด
ย่อมไม่มีวันพบผู้ที่เขาแสวงหาเลย

ตราบเท่าที่เรารักเขา...เราคือผู้ให้
ตราบเท่าที่ใครสักคนรักเรา...
เราย่อมจะขาดจากกันและกันไม่ได้
และไม่มีใครไร้ค่า...หากเขายังมีเพื่อน

เราเปรียบเสมือนผู้ท่องไปในโลกกว้าง
และที่ดีที่สุดสำหรับเวลานี้
ก็คือการได้พบเพื่อนที่ซื่อสัตย์สักคน

โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน
“กังหัน” พากย์ไทย
ส่วนตัวแล้วผมชอบประโยคที่ว่า
"เราเปรียบเสมือนผู้ท่องไปในโลกกว้าง"
บางทีเราก็เดินทางแสวงหาความหมาย
บางประการ ซึ่งอาจเป็นมิตรสักคนก็ได้
หวังว่าคุณและผมจะโชคดีพอ

Saturday, April 22, 2006

สงกรานต์ที่ผ่านไป..วันพบญาติ

(ห่ะ..รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นมาเชียว)

หลายปีมาแล้วที่ผมไม่ได้อยู่บ้านช่วงสงกรานต์
ส่วนมากกลับไปก่อน หรือกลับไปหลังจากนั้น แถมบางทีก็ไม่ได้กลับเลย
ปีนี้ต่างออกไป เพราะตั้งใจกลับไปอยู่บ้านตั้งแต่ต้นเดือนเพื่อเลือกตั้ง
และไปอยู่กับพ่อและแม่บ้าง นับวันพวกท่านยิ่งแก่ไปทุกที
พ่อขึ้นนอนหัวค่ำเช่นเคย และแม่หลับให้โทรทัศน์อาบแสงทุกคืน
จนเวลาข้ามคืนจึงตื่น และเข้านอน...

พอดีสงกรานต์ปีนี้ แม่บอกว่าญาติฝั่งป้ารัชนีจะมาด้วย ความทรงจำล่าสุดของ
การพบป้ารัชนีมันเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครั้งป้ายังทำงานอยู่ที่พิษณุโลก
แต่ นั่นคือหลายปีก่อนที่ป้าจะเอิร์ลลี่ รีไทร์แล้วเดินทางไปอยู่เพชรบุรี
ลูกของป้ารัชนีมีสี่คนคือ พี่เกี๊ยก พี่วา พี่เหม่ง พี่แซ
ความทรงจำเกี่ยวกับพี่วาของผมสูญหาย แต่พี่เหม่งนั้นติดแน่น
ตอนเด็กๆ ตื่นตะลึงกับเส้นสายที่เกิดจากปลายดินสอของพี่เหม่ง
อาการตื่นตะลึงนั้นพัฒนามาเป็นการชอบวาดและขีดเขียนขึ้นในชีวิต

วันที่สิบสี่ ผมเดินทางไปหวั่นโลก (สวรรคโลก ชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัด
สุโขทัย) สถานที่พบปะในเครือญาติ ที่ปีนี้เดินทางมาจากทั้งเพชรบุรี
กรุงเทพฯ และอุตรดิตถ์ ครอบครัวผมไปถึงเป็นคณะแรก
การพบกับลุงป้าและพี่เจ้าของบ้านจึงไม่แปลกหน้านัก
ญาติเกือบทุกคนทักผมด้วยคำพูดคล้ายคลึงกัน ว่าหากไปพบ
กันข้างนอกจะจำไม่ได้เลย และจะไม่ทักด้วย ไม่เว้นแม้แต่พี่วา
ภาพเด็กน้อยน่ารัก ในความทรงจำของพวกเขาคงเลือนราง
และถูกทำลายโดยพลัน
(ไอ้ยักษ์บ่ะลักขักนี่มัน ใครว่ะ?)

มีเพียงแต่ป้ารัชนีเท่านั้นที่เข้ามาทักผมด้วยประโยคว่า
“จำได้ไหม ตอนเด็กแม่จะใส่ถุงเท้าให้เราไป
โรงเรียน แล้วป้าบอกว่าไม่ให้ใส่ ให้เราใส่เองน่ะ”

ให้ตายสิ! ภาพนั้นมันย้อนปรากฏชัดขึ้นมาทันที
ผมยังคงเป็นภาพปรากฏชัดเช่นนั้นในความทรงจำของป้ารัชนี
ไม่ว่าผมจะโตขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อยก็ตาม
ผมมีชีวิตอยู่ในความทรงจำเช่นนั้นของป้าเสมอมา

ขณะเดียวกันเมื่อครอบครัวของพวกน้าๆ เดินทางมาถึง
ผมมองเห็นภาพสะท้อนชีวิตของน้องๆ ในความทรงจำของผม
พวกน้องๆ ที่เคยติดผมแจสมัยเด็ก ตอนนี้มันหันไปติดทหารแทน
ร่างกายสูงใหญ่จากการฝึก และดำรงสถานะเป็นพ่อของเด็กที่เพิ่งเกิดอีกคน
(เฮ้ย! มีครอบครัวไปแล้วเรอะ) ส่วนพวกเด็กๆ ที่เคยโวยวาย วิ่งเล่นทั่วบ้าน
ตอนนี้ทั้งสามพระหน่อ โตจนเรียนอยู่ชั้น ม.ห้า ม.หก กันหมดแล้ว
สิ่งที่พวกน้องๆ ทำกันไม่ใช่การวิ่งเล่น และเรียกร้องออกไปเล่นน้ำอีกแล้ว
แต่เป็นการอวดกันว่าใครจะดื่มได้มากกว่ากัน
วันวัยมันเปลี่ยนผ่านแล้ว
น้องคนหนึ่งพูดและมองผมด้วยสายตาเหยียดว่า
ทำไมถึงกินน้ำส้ม ไม่เก๋าเจ้ง! เอ๊ย ไม่เก๋า ไม่เจ๋งเลย
พวกน้องๆ กินเบียร์ด้วยกันประมาณห้าหกขวด
ก่อนจะมีน้องคนหนึ่งผู้จากไป
แล้วกลายเป็นจุดอ่อนให้เรียกขาน-ประณามต่อไป
คล้ายผมมองเห็นตัวเองในวัยขนาดนั้น
อยากจะเอ่ยบอกน้องคนมักที่พูดจากข่มคนอื่น
แต่ภาพตัวเองในวัยเท่านั้นกลัดปากผมสนิท

ผมเคยเป็นเช่นนั้นใช่ไหมนะ? หรือว่าไม่เคยกันแน่
ที่เชื่อว่าการกระทำบางอย่างในช่วงวัยหนึ่ง
คือ ความเท่ห์ เก๋ และช่างเป็นลูกผู้ชายเหลือเกิน
สุดท้ายผมก็ไม่ได้กล่าวกระไร โลกคงหมุนไปอย่างเดิม
น้องๆ จะเรียนรู้ได้เองว่าควรใช้ชีวิตเช่นไร
และส่วนหนึ่งเพราะผมไม่เคยมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิด
และทำนั้นมันถูกหรือดีงามกว่าวิถีชีวิตอย่างอื่น
(คิดว่าพยายามทำตัวเช่นนั้นนะ)
เส้นทางอื่นๆ อาจจะกระจ่างชัดกว่าที่ผมเลือกมาแล้วก็ได้

ผมใช้เวลาในงานพูดคุย ดื่มเหล้ากับรุ่นพี่ที่อายุแก่กว่าผมมาก
คนที่สมัยเด็กผมไม่เคยกล้าคุยกับเขา
และพูดคุยกับป้ารัชนี รับฟังธรรมะในด้านที่ป้าสอน
ก่อนที่จะใช้เวลาตอนเย็น ขับรถออกพาน้องๆ หลานๆไปเล่นน้ำ
อย่างที่เด็กถวิลหา เมื่อนึกถึงวันสงกรานต์ขึ้นมาได้

สงกรานต์ปีนี้เป็นสงกรานต์อีกปีที่ผมดีใจที่ได้มาร่วม
ด้านหนึ่งเพราะได้พบญาติที่ห่างหายจากกันไปนาน
ด้านหนึ่งได้พบตัวเองในความทรงจำ และมองเห็นกระจ่างขึ้น
ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่า
ห่ะ..ตัวเองแก่ขึ้นมาเชียว


ปล. หนึ่ง วันนั้นในกระเป๋าผมพก วิมานมายา ของ คาวาบาตะ
เดินทางไปด้วย แต่แทบไม่มีโอกาสเปิดออกเลย
อาจเพราะความแก่เฒ่าสนทนาผ่านความรู้สึกของผมแล้ว
หลังจากรับรู้ความรู้สึกของผู้เฒ่าเองุชิ ผมก็ถามตัวเองว่า
เมื่อตอนอายุหกสิบผมจะเป็นเช่นไรนะ?

ปล. สอง อีกเรื่องหนึ่งจากสงกรานต์ในปีนี้ คือ ความรู้สึกหวิวๆ ในใจ
เมื่อได้พบหน้าแฟนเก่าสมัยม.ปลาย ซึ่งก็เพียงเห็นเธอจากในรถ
แถมเธอไม่เห็นผมอีกต่างหาก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม...
กระเป๋าสตางค์ของผมยังมีรูปของเธอจนเมื่อสองปีก่อน
ครั้งเมื่อพบหน้ากันล่าสุด ผมยังหยิบออกให้เธอดู
ใจมันหวิวๆ ที่เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นอีก


(ปัจจุบันลูกของเธออายุสองขวบแล้วล่ะครับ)

Friday, April 21, 2006

โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตกระจัดกระจาย


ผมรีบเขียนประโยคข้างต้นในสมุดบันทึก
ขณะดูหนังแผ่นเรื่อง Butterfly ดอกไม้ ราตรี ผีเสื้อ

ได้กลางเรื่อง หนังเกี่ยวกับความรักของหญิงรักหญิง
ที่พาดทับกับเหตุการณ์ทางการเมืองของจีน
(จัตุรัสเทียนอันเหมิน) นักศึกษาในช่วงเวลานั้น

เดินหน้าเข้าต่อสู้กับสิ่งตนเองคิดว่าถูก
การให้ความหมายถูกผิดของสังคมบางประการ

บีบชีวิตของคนๆ ให้เรียวเล็ก
และจับเหวี่ยงเสียกระจัดกระจาย

ดูถึงกลางเรื่อง ผนวกกับการอ่านคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ
จบหมาดๆ เรื่องราวในหัวขมวดปม ขยายตัว

สะบัดเหมือนสายยางเปิดน้ำแรงสุด
แต่ปราศจากคนถือที่ปลายด้านที่น้ำไหลพุ่ง

ทิศทางไร้ทิศทาง
...โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตกระจัดกระจาย...

จริงๆ เสียแล้ว

ผมเริ่มอ่านงานของมูราคามิด้วย เรื่องบังเอิญจากวัยเยาว์
ขณะเข้าไปเดินในร้านหนังสือมือสอง

ภาพวาดในล้อมกรอบของปกสีขาว
กลัดไว้ด้วยวลีกระตุกใจ “สดับลมขับขาน”

หยิบพลิกไปมาสองสามหน
แต่ชื่อของนพดล เวชสวัสดิ์

ต่างหากที่เป็นเรื่องบังเอิญจากวัยเยาว์
ชื่อนี้กลัดในความทรงจำจาก

เรื่องแปลในชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ และรู้รอบตัว
นิยายวิทยาศาสตร์ นิยายชุดนักสืบ

เรื่องราวกระตุ้นขมองไม่นอนนิ่ง
เรื่องราวขวดเบียร์เกลื่อนพื้นบาร์ มุสิก

และเส้นด้ายไม่ได้สางเก็บในใจด้าย
นับจากนั้นนพดลและมูราคามิมาเยือนทุกฤดู

และทิ้งปมด้ายไร้หัวท้ายไว้เสมอ

ผมใช้ช่วงเวลาหลังจากอ่านเทวากับซาตานจบไม่นาน
ฝังสายตากับหน้ากระดาษของคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ

อ่านแล้วรู้สึกว่าเหมือน ดูหนังที่ตัดภาพอย่างรวดเร็ว
เปลี่ยนมุมกล้องฉับพลัน
จนภาพบนจอเกิดเส้นวิ่งจำนวนมหาศาล อ่านและอ่าน
ฝังหน้าอยู่กับตัวหนังสืออยู่สองสามวัน คำสาปปมอีดิสปุส
ฆ่าพ่อ ร่วมรักกับพี่สาวและแม่ วัตถุบินปริศนา
โอชิมะบุรุษสาวที่ถูกโจมตีด้วยข้อหาเอาเปรียบสตรี
ป่าพิศวงทางเดินที่ไม่อาจย้อนกลับ ชายชราสนทนากับแมว
โฮชิโนะ ชีวิตที่เลื่อนไหลและดำเนินต่อไป...
ประโยคแต่ละประโยคเหมือนเรียงเป็นเรื่องราว
และแยกกันเจริญเติบโตในหัวอย่างเสรี
หากเป็นหนังดูจบมีคนเดินมาถามว่าหนังเล่าเรื่องอะไร
คิดว่าสามารถเล่าลำดับเหตุการณ์ได้ครบถ้วนว่าอะไรเกิดก่อนหลัง
แต่ไม่อาจบอกได้ว่าจะเล่าว่าหนังเรื่องนี้บอกอะไร รู้เพียงว่า ชอบ

หลังอ่านจบหมาดๆ อย่างไม่เจียมตัว
ไม่ปล่อยให้สมองกรองตะกอนขุ่นข้นที่ลอยวนหนา
กลับหยิบหนังจีนเรื่อง Butterfly ดอกไม้ ราตรี ผีเสื้อ

มาสอดทับลงไปอีก จนดูไปได้ครึ่งเรื่อง
ต้องหยิบสมุดบันทึกมาเขียนว่า
"โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตผมกระจัดกระจาย
ไอ้บ้าที่ไหน – เหวี่ยงโลกว่ะ!"


การกลับไปอยู่บ้านที่ตัดขาดจากความเป็นไปโดยปกติ
(เผอิญผมตัดสินใจปิดบริการมือถือที่เคยใช้ช่วงนั้นพอดี)

ไม่มีเสียงจากโลกภายนอกเดินทางไปถึง
ไม่มีการนั่งมองโทรศัพท์รอการกรีดร้อง
ทุกวันเริ่มด้วยจูงจักรยานออกสู่โลกแปลกหน้าที่เคยคุ้น
โชคดีบางประการเดินมาถึง เมื่อหยิบหนังสือที่เคยปฎิเสธ

เมื่อแรกเห็นชื่อเรื่อง อย่าง “แสงแดด-สายลม”
ของ วิลาศ มณีวัต ในคำนำผู้เขียนแนะนำให้
อ่านข้อเขียนเพียงวันละบท หรือไม่เกินสองบทเท่านั้น
ช่วงเวลามีค่าต่อการกลืนกินสิ่งเสพ

ผมมาคิดได้ทีหลังว่าด้วยวิธีการ
ในการรอคอยเพื่อเสพสิ่งสุขในหนังสือเล่มนี้

ทำให้ผมยอมปั่นจักรยาน ฝ่าอากาศร้อนใกล้เที่ยง
ไปนั่งใต้พัดลมเสียงดังในห้องสมุดประชาชนทุกวัน
คล้ายว่าโลกกลับหมุนอย่างเคยหมุน และต่างดำเนินไป

ผมไม่รู้บทสรุปของการเขียนในครั้งนี้

ทุกอย่างเป็นเพียงประสบการณ์
การอ่านและความรู้สึกถูกเหวี่ยงคว้างในโลกสองมิติ

ในการกลับบ้านยาวนาน
เกือบยี่สิบวันที่ผ่านมาได้ทิ้งเรื่องราว
ที่ผมอยากเขียนถึงอีก คงเป็นคราวหน้า
หากประสบการณ์สงกรานต์ที่ผ่านมา

ไม่เลือนหายไปเสียก่อน

ปล. เคยเป็นไหมที่อยู่ๆ ประโยคใดประโยคหนึ่งผุดซ้ำในหัว
ช่วงนี้ “โลกหมุนไปอย่างเดิม” ตามหลอกหลอนผมเหลือเกิน ^^

(บันทึกในขณะที่น้ำมันจะลิตรละสามสิบแล้ว...
...ปั่นจักรยานกันเถอะเรา)

Thursday, April 20, 2006

เทวากับซาตาน

เทวากับซาตาน

ใครสักคนโยนคำถามเข้ามาในชีวิตของมนุษย์
เรามาจากไหน และเกิดมาทำไม กลายเป็นคำถามชั่วนิรันดร์
ที่มนุษย์ยังแสวงหาคำตอบ
บางทีผมก็สงสัยว่า หากมนุษย์สามารถหาคำตอบสากล
ในคำถามชั่วนิรันดร์นี้ได้
คำถามใหม่ๆ จะยังคงเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ?

ขอโทษทีเพ้อไปหน่อยกำลังอ่าน “เทวากับซาตาน” อยู่ยังไม่จบหรอก
แต่คำถามมากมายกระโจนลงมาร่วมวงเสวนา
เมื่อวิทยาศาสตร์เดินทางเข้าใกล้คำตอบของศาสนา
สุรเสียงของพระเจ้า พระพุทธเจ้า พระนบีมูฮัมหมัด พระยะโฮวา
หรือสรรพสิ่งศักดิ์สิทธ์สากลยิ่งแจ่มชัดขึ้น
คำตอบของคำถามนานัปการ อาจมีเพียงคำตอบเดียว
เคยอ่านเรื่องสั้นอยู่เรื่องหนึ่ง รู้สึกจะชื่อ “พระเจ้าเก้าล้านชื่อ”
ว่าด้วยการดำเนินการของพระฑิเบตในโพธาราม
กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ที่พยายามประมวลผลของชื่อเรียกขาน
พระผู้เป็นเจ้าจากทุกภาษาในโลกนี้ ด้วยความเชื่อว่า
จะพบชื่อของเทพเจ้าที่เป็นสากล
และคำตอบของจักรวาลจะปรากฏขึ้น
คลับคล้ายว่าตอนท้ายเรื่อง
ดวงดาราบนท้องฟ้าค่อยๆ ดับลงไปทีละดวง
.........
หลายข้อความข้างต้น ผมเขียนขึ้นไว้เมื่อครึ่งเดือน
ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน (เมื่อต้นเดือนเมษายน)
การได้กลับไปอยู่บ้านคำถามตกค้างข้างต้นไม่ได้คลี่คลายไปหรอก
ผมอ่าน “เทวากับซาตาน” จบแล้ว
คล้ายกับว่าสนุกกับการอ่าน แต่ไม่รู้สึกถูกตบหน้าเท่าครั้งอ่านรหัสลับดาวินซี
และส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่ได้ปล่อยให้ตนเองดิ่งดึก กลืนหาย
ในช่วงเวลาหลังการอ่านเท่าที่ควร
กลับรีบหยิบคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ (Kafka on the shore)
มาอ่านเสียก่อน ไว้คราวหน้าจะเล่าให้ฟังว่าอ่านแล้วเป็นเช่นไรนะ ขอติดไว้ก่อน

ใครสักคนที่โยนคำถามเข้ามาในชีวิต
ยังนั่งมองการแก้ปัญหาที่ประดังประเดเข้ามาเล่นล้อกับกิเลศ
ความอยาก ความใฝ่ฝัน นานาประการของหนึ่งหน่วยในประชากรนับหมื่นล้าน
ใครสักคนที่ไม่ว่าจะมีชื่อตามการเรียกขานเช่นไร พระเจ้า เทวา หรือซาตานก็ตาม
ใครสักคนหรืออะไรสักสิ่ง นิยามใดจะเกิดได้จากความว่างเปล่ากันนะ...
บางทีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นเพียงไวรัสที่เกาะกุมทำร้ายโลกก็ปรากฏชัดขึ้นมาในใจ
และคงอยู่เสมอเช่นนั้น มารดาโลกมีหรือเปล่านะ เทพกีอาจะรู้สึกเมตตาต่อไปอีกไหม
บางทีการเคลื่อนตัวหลายครั้งที่คร่าชีวิตมนุษย์ในช่วงปีที่ผ่านมา
อาจเป็นปรารถนาของกีอาที่จะบรรเทาความเจ็บปวด
ที่เธอได้รับจากผู้อาศัยบนผิวรอบนอกของเธอ

เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้ เพิ่งสังเกตว่า
ข้อเขียนประดับด้วยคำว่า บางที บางคน บางครั้ง อยู่หลายแห่งหลายครั้ง
สมมติฐานดำเนินไปบนสมมติฐาน
ไม่อาจวางอยู่บนสัจจะใดที่ตัวเองยึดถือโดยมั่น
เราแสวงหาความจริงจากสมมติฐานอันว่างเปล่าเหล่านี้ได้หรอกหรือ?
และจนกระทั่งประโยคนี้ ผมก็ไม่สามารถตอบคำถามใดได้เลย
คำถามทยอยกันทายทักและสนับสนุนคำถามก่อนหน้า...
คำตอบล่องลอยอยู่ในสายลม เป็นเช่นนั้นจริงหรอกหรือ?

ธรรมชาติของสัตว์ คำตอบนั้นล่องลอย
ธรรมชาติของสัตว์ คำตอบนั้นล่องลอย*

(* เนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลงของพี่พราย ปฐมพร ปฐมพร)