the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, December 14, 2006

แม่กลอง

ก่อนนั้น ฉันยังจำได้
เยาว์วัย ฉันยังเล็กอยู่
ว่ายเวียนเป็นปลา ตามประสาน่าดู
เป็นปลาว่ายอยู่ตามคลอง

เมื่อฉันนั้น เริ่มโตใหญ่
แม่ฉันพาไปแม่กลอง
ว่ายเวียนเป็นทิวแลหลิวน่ามอง
แม่กลองแสนสุดสดใส

จากนั้น น้ำเสียก็ปล่อย
ปลาใหญ่ปลาน้อยต้องพลอยช้ำใจ
โรงงานเอาแต่สบาย
ฉันต้องร้องไห้ แม่ตายจากฉัน

จับฉันไปกินไม่ว่า
ปล่อยน้ำมา ฉันสูญพันธุ์
เอาแต่สบาย มักง่ายแย่จัง
ขอท่านจงโปรดเห็นใจ...

****************

จะว่าไปสมัยเด็กๆ ผมฟังเพลงนี้แล้วร้องไห้ด้วยครับ
ไม่รู้มีใครเคยฟังบ้างไหม?
เพลงของวง ดิ อินโนเซ็นต์ น่ะครับ

ผมว่าเพลงนี้เพาะการตั้งคำถามกับปํญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นมา
ผมไม่พอใจโรงงานเลย โดยที่ไม่ได้มองปัญหาว่าน้ำเสีย
ธรรมชาติจะพินาศ หรือสิ่งแวดล้อมจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ผมไม่พอใจโรงงานเลย เพราะทำให้แม่ของปลาในเพลงตายไป

โตมาผมนึกชอบเพลงนี้ เพราะมันติดปากและฝังอยู่ในหัว
ไม่ได้สั่งสอนให้ผมต้องอนุรักษ์ธรรมชาติแบบเพลงเพื่อชีวิต
ออกจะเป็นเพลงแบบเด็กๆ ด้วยซ้ำ

ชอบเพราะเป็น ดิ อินโนเซ็นต์ด้วยแหละครับ
เหมือนเคยอ่านเรื่องราวของวงนี้
ว่าเป็นเด็กจากเมืองราชบุรีที่รักการเล่นดนตรีมารวมตัวกันน่ะครับ
นอกจากเพลงนี้ เพลง ราชบุรี ผมก็ชอบ
แต่เพลงที่ดังๆ ของวงนี้น่าจะเป็น ฝากรัก (ที่ร้องว่า ด้วยรักอยากฝากไว้
ในหัวใจที่หมายมั่น ขอเพียงได้พบกัน...)

บ่นไปเรื่อย พอดีกว่า
สวัสดีครับ


ป.ล.
เขียนไว้นานล่ะ ไม่ได้ดีขึ้นเลย ^^

เหรียญทองแดง

ช่วงนี้ดูข่าวกีฬาเอเชี่ยนเกมส์แล้ว นึกถึงอะไรขึ้นมาหลายอย่าง
อาจเพียงแวบหนึ่ง แต่ก็นึกเห็นใจคนที่ไม่ได้เหรียญรางวัลอย่างที่ใครต่อใครตั้งใจ
(ซึ่งตัวเขาเองก็คงตั้งใจไม่แพ้ใครหรอกน่า)
ใครไม่รู้กล่อมเกลาผมมาตั้งแต่เด็ก ว่า
กีฬา คือ ยาวิเศษ (เอ้า! ฮ้า ไฮ้ เชี๊ยบ ^^ )
หรือต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เป็นเป้าหมายของการแข่งขันกีฬา

ไม่รู้ว่าผมเลอะเลือนไปเองหรือเปล่า?
สองสามวันมานี้ ผมเห็นเนื้อข่าวที่พูดถึงการได้รับชัยชนะของนักกีฬาหลายคน
แต่อีกหลายคนที่เข้าแข่งขันหายไปจากพื้นที่สื่อมวลชน
โดยเฉพาะมันเกิดภาพเปรียบเทียบกับนักกีฬาบางคนที่ได้รับการคาดหมาย
ว่าจะได้รับ เหรียญทอง แล้วปรากฏว่าเขาพลาดเป้าหมายไป
วันรุ่งขึ้นผมมองหาเนื้อข่าวเกี่ยวกับเขาไม่เห็นเลย

ปัญหาอาจเป็นเพราะผมเปิดรับสื่อได้ไม่ตรงกับที่เขาเสนอข่าว
หรือว่ามาจากพื้นที่สื่อนั้นต้องตอบสนองความต้องการของผู้ชม
คิดอีกทีอาจเพราะค่าเช่าช่องสัญญาณมันแพง
ไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนแพ้หรอก (หรือไง?)

ก็ว่าไปกันไป ไอ่ขมองเอ๋ย คิดไปเรื่อยเทื่อย
นี่ยังไม่ได้นับช่วงเวลาที่ใครต่อใครตั้งความหวัง
กับนักกีฬาเหล่านั้น โดยไม่ได้เห็น ติดตามช่วงชีวิตการฝึกซ้อม
หรือหลังจากความพลาดพลั้งมาเยือน

ผ่านเรื่องของวันนี้
ภาพกระจกสะท้อนให้คิดถึงวันที่ผมได้เหรียญรางวัลเหรียญแรก
สมัยประถมฯ ผมเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล
ในโรงเรียนเล็ก ๆ ก็มีไม่กี่สีหรอกครับ
แต่กระนั้น เหรียญทองแดงนั้นก็มีค่าสำหรับในวัยนั้นมาก
จำได้ว่า ผมมองดูมันด้วยสายตาชื่นชม
นำกลับมาห้อยไว้กับเสาในห้องนอนที่บ้าน
รวมกับข้าวของที่ผมรัก

แหม แต่ถึงแม้ว่าผมจะเล่าอย่างให้ความสำคัญ
กับเหรียญรางวัลขนาดนั้น แต่ถึงวันนี้มันหายไปไหนแล้ว
ผมยังไม่รู้เลย...
หายไปพร้อมกันวันวัยที่เพิ่มมากขึ้น
เรื่องราวความทรงจำปรากฏผุดพรายขึ้นเป็นระยะ
ผมมานึกได้บางเรื่อง ในบางเวลาเท่านั้น
เช่นเดียวกับเหรียญรางวัลในวัยเด็ก
ผมมาย้อนนึกถึงในวันที่นักกีฬาเหรียญเงิน เหรียญทองแดง
หายไปจากการรับรู้มากขึ้น
แล้วนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญอีกหลายคน
อืม...หรือผมจะบ่นเข้าข้างคนแพ้ด้วยกันก็ไม่รู้เนี่ย ^^

สมัยเด็กๆ เคยเล่นกีฬาอะไรในกีฬาสีโรงเรียนกันบ้างครับ?

Thursday, December 07, 2006

กินข้าวนอกบ้าน

ข้าวบ้านกินมาตั้งแต่เล็ก
สำหรับคนต่างจังหวัด
แถมอยู่ในครอบครัวข้าราชการแล้ว
การออกไปกินข้าวนอกบ้านเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผม

สมัยนั้น แม่ยังทำกับข้าวอยู่ รวมทั้งย่าและป้าด้วย
เกือบทุกเย็นหลังจากเลิกเรียนย่าจะเตรียมหมูปิ้ง สูตรของย่าไว้รอท่า
ไม่เคยกินหมูปิ้งที่ไหนเหมือนของย่าอีกเลย หลังจากที่ย่าตายไป
หมูปิ้งของย่าจะใช้ซี่โครงหมู หมักเครื่องเทศจำพวกเกลือ พริกไทยเม็ด กระเทียม
แล้วก็อะไรไม่รู้ (ถ้ารู้ผมอาจจะพยายามหากินเองได้...เฮ้อ)

งานมาแว้ว...เดี๋ยวมาเขียนใหม่เน้อ

หายไปไม่ได้เขียนเสียหลายวัน
มาเปิดอีกครั้งก็เห็นเพื่อนขวัญกับคุณขามมาเจิมซะแล้ว
(เล่าต่อดีกว่า)

ซี่โครงหมูปิ้งบนตระแกรง
โดนความร้อนหยดไขมันลงสู่ถ่านเบื้องล่าง
กลิ่นหอมทักทายตั้งแต่ผมเดินมาถึงรั้วบ้าน
ในวัยเด็กผมกินแต่หมูปิ้งเท่านั้น
แต่ที่จริงของที่กินคู่กับหมูปิ้งคือ ข้าวเหนียวร้อนๆ และน้ำพริกไอ้งั่ง

น้ำพริกไอ้งั่ง เป็นชื่อที่ย่าใช้เรียกน้ำพริก
ที่ตำจากพริกขึ้หนูสีแดง (สีเขียวบ้างเล็กน้อย) กับมะเขือพวง
มะเขือเทศ เกลือ และปลาร้าเล็กน้อย ก่อนโรยหน้าด้วยผักชี
ค่าที่รสชาติของมัน เผ็ดมากจนกินแล้วโง่กันไปเลย
ย่าจึงให้ชื่อมันว่า น้ำพริกไอ้งั่ง (คำเมือง งั่ง = โง่)

เอ่อ...ว่าจะเล่าเรื่องออกไปกินข้าวนอกบ้าน
แวะมาเยี่ยมรายการอาหารเด็ดของย่าเสียยาวเลย


กับข้าวฝีมือแม่ของใคร ใครก็คงว่าอร่อย
ของแม่ผมก็คงไม่หย่อนกว่าใครในความรู้สึกถึงรสมือแม่
สมัยเด็กๆ แม่ไม่ซื้ออาหารข้างนอกมา เพราะมันมีราคาสูงกว่าทำเอง
บ่อยครั้งที่แม่จะทำอาหารให้ผมกับพี่ชายแล้วพูดว่า
นี่น่ะอาหารที่ผมกินอยู่น่ะ ถ้าไปซื้อกินข้างนอกนะ ได้นิดเดียวเอง
ไม่อิ่มด้วย แถมแพงกว่าด้วย เราทำเองนะสะอาดกว่ากันเยอะ...^^

แต่วันพิเศษก็มีมาเยือนบ้างจนได้ล่ะน่า
การได้ออกไปกินข้าวนอกบ้าน สมัยแรกก็ยังเป็นการออกไปแถวบ้าน
ทำกับข้าวไปกินกันที่อุทยาณฯ ริมสระน้ำ เสมือนว่าไปปิคนิค
หรือไม่ก็เป็นการออกไปกินตามร้านก๋วยเตี๋ยวในตลาด

(ก๋วยเตี๋ยวต้นกระจี้อร่อยสุด - อืม ถึงตรงนี้มีเกร็ดเล็กน้อยว่า
คนแถวบ้านผมเรียกต้นตะขบว่า ต้นกระจี้ ผมอ่านหนังสือหลายเรื่อง
ยังงงว่าต้นตะขบเป็นอย่างไร โตมาถึงได้รู้ว่า บ้านผมเรียกแปลกกว่าเขาไปเอง
เพราะมันคือต้นไม้ชนิดเดียวกัน)

ไล่ๆ ย้อนไปกินข้าวนอกบ้านของผมที่มันพิเศษและจำความได้
น่าจะเป็นสมัยเดินทางไปเชียงใหม่
สมัยนั้นถนนไปเชียงใหม่ยังมีเพียงช่องทางเดินรถ ช่องทางเดียวเท่านั้น
แถมครอบครัวผมยังเลือกใช้เส้นทางที่ตัดผ่านเขตจังหวัดอุตรดิตถ์
และจังหวัดแพร่ด้วย เส้นทางที่เลาะผ่านขุนเขาสีเขียวของเวิ้งหุบที่ถนนผ่าน
ร้านไก่ย่างร้านหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณที่พักริมทาง ตัวร้านยื่นออกไปในหุบ
มองเห็นทัศนียภาพกว้างไกล สีเขียวสดใสไปทั้งป่า

สมัยนั้นครอบครัวเดินทางผ่านเส้นทางนั้นบ่อยๆ
เพราะพี่ชายผมเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้ความทรงจำของร้านไก่ย่าง
ร้านนั้นบรรจุเรื่องเล่าทับถมกัน บางฤดูกาลไม้ผลัดใบสีสรรสลับลายแดงเหลือง
รถเก๋ง-โคโลน่าสีน้ำตาลสามารถพาทั้งพ่อ แม่ ป้า พี่ชาย และผมไปพร้อมกันได้
แม้จะค่อยๆ ไต่ขึ้นไต่ลงก็ตาม

ไก่ย่างร้านนั้น มีทั้งสีของไก่จะออกสีชมพูๆ และสีเหลือง
ผมไม่รู้ว่า เขาใช้อะไรในการทาหนังไก่ระหว่างที่ย่าง
แต่เนื้อไก่จะแห้ง และนุ่มดี
(อาหารในความทรงจำกระท่อนกระแท่นมักอร่อยเกินจริง)

สมัยเด็กๆ มีเรื่องให้ต้องเดินทางไปกับครอบครัวบ่อยๆ
นอกจากร้านไก่ย่างที่ว่าแล้ว บนเส้นทางระหว่าง
อำเภอศรีสัชนาลัย (หาดเสี้ยว) ไปอุตรดิตถ์ยังมีร้านที่แม่ชอบแวะเสมอ
คือ ร้านกุหลาบ รายการอาหารที่สั่งเป็นประจำ
ไม่พ้นไปจากยำปลาดุกฟู และปลาสำลีอกแตกทอดทั้งตัว
กินกับน้ำจิ้มยำรสชาติออกเปรี้ยว หวาน อยากเผ็ดก็กัดเม็ดพริก
อยากมันก็เคี้ยวเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปพร้อมกัน

การออกเดินทางทำให้เราพบ
รสชาติขนิดใหม่ ทั้งรสชาติปาก และรสชาติชีวิต
เติบโตขึ้นมานิสัย ดุ่มเดินแสวงหารสชาติ
หลากหลายยังไม่สิ้น ถนนในเมืองหลวงจึงตัดพา
ผมเดินทางไปหาร้านอาหารเพื่อกินข้าวนอกบ้านมากขึ้นๆ

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับผมแล้ว การออกไปกินข้าวนอกบ้านมันแปลกใหม่อร่อยก็จริง
แต่บางช่วงเวลามันทำให้นึกถึงกับข้าวธรรมดาๆ ของที่บ้านขึ้นมาเหลือเกิน

ป.ล.
น้ำพริก ผักสด ผักต้ม ข้าวร้อนๆ ก็พอ...
เอ...หรือไม่พอดีนะ แล้วผัดซีอิ๊วของแม่ล่ะ ฝีมือยำไข่ดาวของพ่อ
ต้มกระดูกหมูผักกาดดอง ผัดเปรี้ยวหวาน กากหมูเจียว
น้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด กับชะอมชุบไข่กรอบๆ
ผัดกระหล่ำปลีน้ำนอง(เพื่อที่ลูกๆ จะได้ตักน้ำราดข้าว)
ไข่ตุ๋น หมูทอด ปลาทอด ไข่เจียวหมูสับใส่มะเขือเทศ ต้นหอมที่ทอดแล้ว
แตกเป็นชิ้นๆ เพราะหนามาก
เฮ้ย! พอแล้ว เขียนตอนเที่ยงด้วย หิวเลยเนี่ย ^^