the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, March 29, 2007

เรื่องตลก 69

Wednesday, March 29, 2006

สิ่งใดเติบโตเชื่องช้า เจริญได้งดงาม

^
^
^

ประโยคข้างบนนั้น ผมนำมาจากหัวบล็อกตอนแรกที่เขียน
เมื่อวันที่เดียวกันนี้ของปีที่ผ่านมา...
เห็นกันอยู่หลัดๆ พลัดมาเขียนอะไรในเน็ต
เป็นปีเข้าไปแล้ว แถมบล็อกครบรอบปีนี้
ยังเป็นบล็อกที่ 69 เสียด้วย
(ช่างเหมาะสมกับคนลามกเสียนี้กระไร^^)

มีเรื่องราวดำเนินผ่านมา
อยากบันทึกก็มากมาย
หลงเลือนหายตามความทรงจำพัดพรายก็มาก
ไม่ว่าช้าหรือเร็ว...
ทุกอย่างก็ต้องเติบโตและตกตายไป

ผมอยู่ในมหานครที่เข้ามาครั้งแรก
หงุดหงิดเกลียดชังความวุ่นวายของมันมาเกือบสี่ห้าปีแล้ว
จำได้ว่าปีแรก ร่างกายแย่มาก
ปฎิเสธสิ่งรอบตัว เป็นภูมิแพ้ครั้งแรกในเมืองหลวง
ไอเสียจนเส้นเลือดในคอแตก จมูกพิการกลิ่น

เฮ้อ...
บ่นไรเนี่ย
กลับไปทำวิทยานิพนธ์ต่อแล้วนะ

ป.ล.
ต้องขอโทษใครต่อใคร
ที่วันนี้ (30มีนา) ไม่ได้ตอบเอ็มเอสเอ็น
ใครเลย เพราะทำงานพิมพ์งานทั้งวันเลย
ไม่มีโอกาสกระทั่งสอดแทรกวิทยานิพนธ์
ที่แนบไปพิมพ์อยู่ใต้ใบงานเลย...
ว่าแล้วก็ สู้-------------เว๊ย! ^^

ป.ล. สอง
ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเรื่องเลยวุ้ย!
ไม่เห็นจะตลกเลยนิ

Wednesday, March 28, 2007

ไมโล โซดา

หน้าหอพักของผมมีบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง
ผมเดินผ่านเข้าออกอยู่ทุกวัน
บางวันก็ชอบมองเข้าไปในบ้าน
ในบ้านมีคุณยายท่าทางใจดีอยู่คนหนึ่ง
บางวันถ้าไม่นั่งเย็บอะไรอยู่
ก็นั่งเล่นอยู่กับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน

ผมไม่รู้ว่าบ้านของคุณยายอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว
อาจจะก่อนตึกรามใหญ่โตจะมาบดบังแสงตะวันฉายก็ได้
ในซอยเดียวกันมีบ้านหลังใหญ่อีกหลายหลัง
ทุกหลังก็ดูเก่าและมีประวัติเนิ่นนานมาพอดู
บ้านหลังที่มีชื่อเดียวกับชื่อซอย ตัวบ้านยังเป็นบ้านไม้
หลังคาทรงปั้นหยา หน้าต่างบานเกล็ดไม้
ที่ใช้เปิดขึ้นลงมากกว่าเปิดแบบบานพับสมัยใหม่
ต้นไม้สูงใหญ่ ชวนให้อิจฉาความสงบในอาณาเขต
แต่ผมกลับชอบบ้านคุณยายมากกว่า
บ้านหลังเล็กที่จัดเรียบๆ เป็นระเบียบ กับต้นไม้กระถางที่วาง
บนรั้วเป็นทิวแถว... เสียงนกร้องทั้งขุนทองและนกเขา
ตรงกำแพงรั้วบ้านคุณตาคุณยายทำเป็นช่องสามารถมองออกมาได้

บางวันคุณยายอารมณ์ดี
ผมก็จะไดยินเสียงคุยเล่นกับสุนัขสองตัว ผมเรียกชื่อพันธุ์ไม่ถูก
ตัวหนึ่งเป็นพันธุ์พุดเดิ้ล ส่วนอีกตัวไม่แน่ใจว่าเทอร์เรียหรือเปล่า?
ที่พอจะรู้แน่ๆ คือพวกมันชื่อ ไมโล และโซดา...^^

สุนัขสองตัวนี้น่ารักดี
อาจเพราะมันตัวเล็กและร่าเริงเป็นพิเศษ
บางคราวเมื่อผมเดินผ่านรั้วบ้าน พวกมันจะวิ่งไล่กวด
จากรั้วบ้านด้านหนึ่ง ตามไปถึงรั้วบ้านอีกด้านหนึ่ง
ทั้งๆ ที่ตัวสูงไม่พ้นมาให้สายตาเห็น แต่ก็ส่งเสียงทักทายกัน
คุณยายอารมณ์ดีเรียกชื่อทำให้ผมได้รู้จักชื่อของทั้งสองตัว
ไมโลเป็นพุดเดิ้ลขนสีน้ำตาลอ่อนๆ ปากเปราะตามนิสัย
ส่วนโซดา ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเทอร์เรียผสมกับอะไร
มันขนสีขาวแกมเทาและดำทั่วตัว นัยตาใสสีดำกลอกกลิ้งไหวๆ
บางครั้งเมื่อไม่อาจโดดให้พ้นขอบประตูด้านล่างเพื่อโชว์ตัว
ก็ใช้จมูกโผล่พ้นขอบประตูรั้วด้านล่างเพื่อสูดดมกลิ่น...

ผมมานั่งเขียนภึงคุณยายและสมาชิกในบ้าน
เพียงเพราะเมื่อเช้าระหว่างรีบออกมาทำงาน...
รถรายังจอดแน่นเต็มหอ ปิดเทอมแล้วเด็กๆ ตื่นสาย
โลกยังคล้ายไม่ฟื้นจากสลัวสเลีย...
เสียงนกเขาขันกู่ "กุ๊กกรู้... กุ๊กกรู้..." อยู่สม่ำเสมอ
คุณยายแปลงเสียงร้องของตัวเองว่า
"ไม่โล โซดา ไมโล โซดา ไม่รู้ อยู่ไหน ไม่รู้..."
ก่อนที่จะคุยเสียงเล็ดลอดออกจากในบ้านว่า
"อยู่ไหนนะ แม่จะไปแล้วนะ อยู่ไหนน้า.."
ความจริงทั้งสองตัวก็อยู่แถวนั้นแหละครับ
แต่การแกล้งทำไม่เห็นแล้วพูดคุยกับทั้งสองของคุณยาย
มันทำให้วันนี้เริ่มต้นได้ดีเหลือเกินครับ...


ป.ล.
ขอโทษผู้อ่านที่ตั้งใจจะได้สูตรเครื่องดื่มประเภทไมโล โซดาไว้ที่นี้ด้วย
ฮ่าๆ จะบ้าแล้วเหรอตรูเนี่ย....^^~

Tuesday, March 13, 2007

วิมุตติคาถา ๒ เว่ยหล่าง

“แหม! ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้ (Essence of Mind) นั้นเป็นของ
บริสุทธิ์ อย่างบริสุทธิ์แท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจความ
ต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง
อย่างสมบูรณ์แท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง
อย่างนอกเหนือแท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจาก
ตัวจิตเดิมแท้!”


เว่ยหล่าง (หรือฮุยเล้ง หรือฮุยเหน็ง: ญี่ปุ่นเรียก อีโน หรือเยโน ค.ศ.๖๓๘-๗๑๓)

ท่านเว่ยหล่างหรือฮุยเหน็ง เป็นพระสังฆปรินายกแห่งพุทธศาสนาอย่างเซน
องค์ที่ ๖ (สายจีน) ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่ยังเยาว์ วันหนึ่งขณะรุ่นหนุ่ม
ได้หาบฟืนไปขายในตลาดเมืองกวางเจา (แคนตอน) ก็ได้ยินลูกศิษย์ของ
พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๕ กำลังสาธยายวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรอยู่. พอ
ได้ยินข้อความแห่งพระสูตรนั้นเท่านั้น ใจของท่านก็ลุกโพลงสว่างไสวในพุทธธรรม
ทันที! ท่านจึงเดินทางไปขอศึกษาเซนจากอาจารย์หว่างหยั่น พระสังฆปรินายก
องค์ที่ ๕ ณ วัดตุงซั่น ตำบลวองมุย เมืองคีเจา ท่านเว่ยหล่างได้ไปอยู่
ที่วัดนั้นโดยทำหน้าที่เป็นคนตำข้าวในโรงครัวของวัดอยู่เป็นเวลาหลายปี

วันหนึ่งท่านอาจารย์หว่างหยั่นได้ขอให้ศิษย์ทุกคนเขียนโศลกว่าด้วย
เรื่องจิตเดิมแท้ โดยกล่าวว่าถ้าผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร
ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปรินายก)
พร้อมทั้งธรรมะ (อันเป็นคำสอนเร้นลับของนิกายเซน) ท่านชินเชา
ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ ได้แต่งโศลกว่า,

"กายของเราคือต้นโพธิ
ใจของเราคือกระจกอันใส
เราเช็ดมันด้วยความระมัดระวังทุกๆ ชั่วโมง
และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองจับ"


ท่ายเว่ยหล่างอ่านหนังสือไม่ออก แต่ให้เพื่อนศิษย์อ่านให้ฟัง ก็รู้ว่าผู้
แต่งโศลกนั้นยังไม่เห้นแจ้งในจิตเดิมแท้ ท่านจึงให้เสมียนแห่งตำบลกองเจาซึ่ง
อยู่ในที่นั้นช่วยเขียนโศลกของท่านไว้ดังนี้

"ไม่มีต้นโพธิ์
ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
ฝุ่นจะลงจับอะไร?"

คืนวันต่อมาอาจารย์หว่างหยั่น พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๕ ได้เรียกท่าน
เว่ยหล่างเข้าไปพบ และอธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตรให้ฟัง พอถึงข้อ
ที่ว่า "คนเราควรจะใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่อง
ข้องทั้งหลาย" ทันใดนั้นท่านเว่ยหล่างก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบรูณ์
และได้เห็นชัดแจ้งว่า "ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ ก็คือตัวจิตเดิมแท้นั่นเอง
มิใช่อื่นไกล" และท่านก็ได้อุทานขึ้นต่อหน้าอาจารย์ว่า

“แหม! ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้ (Essence of Mind) นั้นเป็นของ
บริสุทธิ์ อย่างบริสุทธิ์แท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจความ
ต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง
อย่างสมบูรณ์แท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง
อย่างนอกเหนือแท้จริง!
ใครจะไปคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจาก
ตัวจิตเดิมแท้!”


ซึ่งอาจารย์ก็ได้กล่าวต่อไปอีกว่า,

"สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตัวเองว่าคืออะไร ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะ
ศึกษาพุทธศาสนา ตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร และ
เห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซาบว่า ธรรมชาติแท้ของตนเองคืออะไรด้วยแล้ว
ผู้นั้นคือวีรมนุษย์ (นายโรงโลก) คือครูของเทวดาและมนุษย์ คือพุทธะ"

แล้วท่านเว่ยหล่างก็ได้รับมอบธรรมะ เป็นทายาทรับมอบคำสอนแห่ง
นิกาย "ฉับพลัน" พร้อมทั้งบาตรและจีวร เป็นพระสังฆปรินายกแห่งพุทธ-
ศาสนาอย่างเซน (สายจีน) องค์ที่ ๖ สืบต่อไปจากอาจารย์ของท่านนั่นเอง.

ป.ล.
เมื่อวานวันเดียว
โทรทัศน์ที่ห้องถ่ายทอดเรื่องราว
ธรรมชาติวินาศในประเทศไทยไปตั้งสามเรื่อง
ทั้งปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา ไฟป่าทางเหนือ
และเชียงใหม่ในหมอกละอองฝุ่น...
ตื่นมาแล้วยังแข็งแรง ก็โชคดีแล้วครับ
เพราะฉะนั้นขอให้แข็งแรง มีเรี่ยวแรงทำเรื่องที่อยากทำ
และเรื่องดีๆ อื่นๆ ต่อไปนะครับ ^^

Saturday, March 10, 2007

วิมุตติคาถา

วิมุตติคาถา: บทบันทึกคำอุทานของพระเซนขณะบรรลุธรรม



"เมื่อเรายังไม่พบญาณ ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นเอนกชาติ
แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน, คือตัณหาผู้สร้างภพ ;
การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป.
นี่แน่ะ นายช่างปลูกเรือน! เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว ; เจ้าจะทำ
เรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป.
โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ; ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว ;
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป ;
มันได้มาถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา (คือถึงนิพพาน)."




ปฐมพุทธภาษิตคาถา

พระพุทธเจ้าได้ตรัสอุทานขึ้น หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิสำเร็จ
เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ณ โคนต้นโพธิ์ ริมฝั่ง
แม่น้ำเนรัญชรา ในวันเพ็ญเดือน ๖ ขณะพระชนม์มายุ ๓๕ ชันษา ก่อนพุทธศักราช
๔๕ ปี (ก่อนคริสตศักราช ๕๘๘ ปี) ; หลังจากที่ปฎิบัติลองผิดลองถูกอยู่ ๖ ปีเต็ม.


ป.ล.
ธรรมะ ธรรมโมครับ ธรรมะ ธรรมโม ^^
พอดีช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือชื่อเดียวกับบล็อกนี้อยู่ครับ
แล้วก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ไปด้วย...
อืม...ที่จริงอ่านอีกสองสามเล่มสลับกับข้อมูล
วิทยานิพนธ์ครับช่วงนี้ เนือยๆ แต่ต้องพยายามครับ ^^


ป.ล. สอง
อันนี้แถมครับ...
"I breath therefor I am"

Saturday, March 03, 2007

เดือนที่ผ่านมา...

ช่วงเดือนที่ผ่านมามีเทศกาลตรุษจีน
เปล่าครับ...ผมไม่ได้มีเชื้อสายจีนอันใด
แต่ทว่าชีวิตก็ผูกพันจนได้รับอั่งเปาจนได้

อั่งเปา จากร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดในประเทศกระมัง
ชื่อของมัน คือ "อั่งเปาเซียมซี รัก สุดคุ้ม"

เมื่อหนึ่งเดือนผ่านพ้น เทศกาลแจกอั่งเปา
สำหรับการจับจ่ายทุกๆ 50 บาทในร้านค้า
ผ่านพ้น... ผมนำอั่งเปาทั้งหมดมานับจำนวน
ตาลุกวาว เมื่อพบว่า ผมจับจ่ายในร้านค้าสะดวกซื้อ
ในรอบเดือนที่ผ่านมาเกิน 2,000 บาทขึ้นไป...
ไอ่หย๊า!!!

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมเลยคิดจะหาประโยชน์
จากของที่ผมกำลัตั้งใจจะขจัดทิ้งนี้เสียก่อน
ในอั่งเปาเซียมซีมีคำทำนายอยู่ทุกใบ
หากคำทำนายทำหน้าที่ของมันอย่างแท้จริง
ผมว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา
ชีวิตผมคงพลิกไป ผันมาไม่สิ้นสุดแน่ๆ
อยากรู้ไหมผมได้รับคำทำนายอะไรบ้าง ....^^

*********************
ตามนี้เลยครับ ...พิมพ์ไม่ไหวอ่ะครับ ^^


ป.ล.
เอาเข้าไปชีวิตผม...ถ้าดวงมันพันพัว
ตามเซียมซีขนาดนี้ล่ะก็ โชคดีแล้วครับ
ที่รอดพ้นเดือนที่แล้วมาได้ (^^)~ฮ่าๆ