สนทนากับตัวเอง
“ฉัน- ฉันไม่มีความสามารถ!” เขาพูดในที่สุด ใบหน้าระทด ไร้สีเลือดเหมือนซากผี
บ. เองก็อดสะเทือนใจมิได้ เขากล่าวกับเยฟิมอฟ
“ฟัง, เยอเกอร์ เพโทรวิช แกกำลังทำอะไรกับตัวเอง? แกกำลังทำลายตัวเองไปกับความท้อแท้ แกไม่มีเลย – ไม่มีความอดกลั้นหรือความกล้า – ไม่มีเลยแม้แต่นิด พอแกเกิดความรู้สึกบีบคั้นขึ้นมา แกก็โทษตัวเอง ว่าไร้ความสามารถ ไม่จริง ความสามารถแกมี เชื่อฉัน ฉันเห็น หากแกจะหัดเข้าใจตัวเองและเข้าใจความรู้สึกต่อศิลปะเท่านั้น ฉันจะบอกให้ ชีวิตทั้งชีวิตของแกไง คือข้อพิสูจน์ได้อย่างดี
“ชีวิตแต่ก่อน แกเคยเล่าให้ฉันฟัง แกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ มันก็ทุกข์กล้ำกลืนไม่ได้ต่างกัน ครูคนแรก...คนประหลาดคนนั้น ที่แกเล่าถึงบ่อยๆ เขาปลุกความรักในศิลปะเป็นคนแรก และยอมรับในพรสวรรค์ของแกตอนนั้นแกมีความรู้สึกนี้อย่างแรงกล้า กับตอนนี้ แกกำลังท้อแท้เสียนี่ ซ้ำแกก็หาได้รู้ว่าต้นสายปลายเหตุมันเกิดยังไง แกทนอยู่ในที่ของเจ้าที่ดินไม่ได้ แล้วแกก็ใช่จะรู้ว่า แกต้องการอะไร – ตรงนี้แกไม่รู้ ครูคนนั้นตายเร็วไปหน่อยทิ้งแกให้ต้องจมอยู่กับความเลื่อนลอย มีแต่แรงบันดาลใจคลุมๆ เครือๆ ซ้ำร้ายยังไม่มีใครสอนให้แกรู้จักตัวเอง แกรู้อย่างเดียว แกอยากไปทางอื่น อยากไปทางที่เปิดกว้างกว่านี้ ทางที่จะทำให้ชะตามันเปลี่ยนไปได้ แต่แกไม่รู้วิธีจะให้บรรลุทางสายนั้น พอมีความกลัดกลุ้มเข้ามาประดัง แกพลอยชิงชังสิ่งรอบตัวไปเสียหมด ความยากจน ความขมขื่นที่ผ่านมาตลอดหกปี มันไม่ไร้ประโยชน์ดอก แกได้เรียนรู้ ได้คิด ได้รู้จักตัวตนและพลังในตัว มาบัดนี้แกก็ได้ใช้แล้ว ได้รู้แล้วทั้งศิลปะและทางชีวิตของแก
“เพื่อนรัก ขอแต่แกมีความอดทนและกล้าหาญ แล้วโชคชะตาอันแสนจะน่าอิจฉาเหนือกว่าฉันหลายขุมนัก พูดกันในแง่ศิลปินแล้ว แกเหนือกว่าฉันหลายร้อยเท่า แต่พระเจ้ากลับยื่นความอดทนให้แกเพียงหนึ่งในสิบของที่ฉันมี ! เรียนรู้เข้าไว้เถอะ เหล้ายาอย่าสนใจ อย่างที่เจ้าที่ดินซึ่งดีต่อแกเคยเตือนไว้ แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด ขอให้เริ่มต้นเท่านั้น – เริ่มตรงขั้นต่ำที่สุดนี่ล่ะ อะไรจะมาบีบคั้นแก ความยากจนหรือความคับแค้นรึ ? สิ่งนี้ต่างหากจะสร้างศิลปิน มันเป็นของที่คู่กันอย่างแยกไม่ออกมานานแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครต้องการแก ไม่มีใครอยากจะมาไยดี แต่สักวันเถอะจะถึงวันของแก
“จงอดทนคอย แกจะเห็นความแตกต่าง เมื่อทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถของแก ความอิจฉา หยาบช้า และที่ร้ายคือความเบาปัญญา มันเป็นภาระหนักหนาน่าท้าทายกว่าความยากจนมากมาย ความสามารถอย่างเดียวนั้นไม่พอ มันต้องมีการประนีประนอมเข้าอกเข้าใจเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย แล้วเมื่อถึงวันนั้น วันที่แกบรรลุถึงเป้าหมายไปได้สักส่วนหนึ่ง แกจะรู้ว่าคนที่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังแกเป็นพวกไหน ตอนแกเร่งปรุงแต่งตัวเองด้วยการฝึกปรืออย่างเคร่งครัด อดตาหลับขับตานอนอับจนหนทางและหิวโหย พวกนี้จะมองเป็นเรื่องทุเรศทุรัง มองอย่างเหยียดหยามไม่มีคำชม ไม่มีปลอบประโลมแก...นี่แหละ เพื่อนของแกในวันข้างหน้า คนพวกนี้ไม่มีวันชี้ให้เห็นว่าในตัวแกมีดีอะไร มีอะไรจริง ส่วนตานั้นจะคอยลุกวาวเฝ้าจับผิดหาข้อผิดพลาดมาซ้ำเติม มีแต่โพนทะนาว่า แกผิดตรงไหน พลาดตรงไหน และหากแกเกิดพลาดขึ้นมาจริงๆ หน้ากากของคนพวกนี้จะเปิดทันที เผยให้เห็นโฉม...หน้าที่แท้จริงของความไม่แยแสและรังเกียจเดียดฉันท์อย่างแท้จริง – เหมือนคนทั้งโลกจะทำผิดกันไม่เป็น
“แต่แกเป็นคนยโส ความลำพองของแก...มันไม่น่าจะมีอยู่ในตัว มันจะทำให้พวกไร้ชื่อ ที่ชอบโอ่ตัว รังเกียจแกเปล่าๆ...มันรังแต่จะสร้างปัญหาให้แกต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวท่ามกลางคนพวกนั้นซึ่งมีมากมายเหลือเกิน แกจะต้องทนทรมานกับคำเสียดสีของคนเหล่านี้ อย่าว่าเลย ฉันเองยังเคยเจอมากับตัว แกต้องใส่ใจเอาไว้เถอะ แกไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก แกยังมีมือมีแขน เพียงแต่แกไม่รู้จักไต่ไปจากงานต่ำ คิดหาทางไปทำงานเสียบ้างเถอะ งานอะไรก็ได้ ฉันยังเคยยอมไปเล่นในงานสโมสรของพวกชั้นต่ำ แต่แกไม่มีน้ำอดน้ำทนนี่ซิ มันเป็นโรคประจำตัวของแกอย่างหนึ่งเทียว ไม่มีคำว่าเรียบง่าย เอาแต่จะกะเกณฑ์ ในหัวมีแต่อย่างนั้นอย่างนี้วุ่นวาย แกเก่งมากเมื่อใช้ปากแต่จะหงอไปทันทีเมื่อต้องหยิบไวโอลินขึ้นมาชัก แกยโสแต่กลับเป็นคนท้อแท้ หัดรู้จักมีความกล้า มีน้ำอดน้ำทนและศึกษาเข้าไว้ หากเชื่อใจในพลังของตนไม่ได้ ก็จงศรัทธาในโชคเถอะ ทั้งไฟทั้งอารมณ์ศิลปินแกก็มีแล้ว แกอาจไปถึงเป้าหมายก็ได้ หากไม่เป็นดังคิด ก็จงปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคลิขิต แต่แกไม่แพ้หรอกไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เพราะการเดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ศรัทธาในโชคไว้เถอะ เพื่อนเอ๋ย มันมหัศจรรย์นัก !”
จากตอนหนึ่งในเรื่อง “เยฟิมอฟ ศิลปินผู้หลงตัวเอง”
ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ : ประพันธ์
พัชรินทร์ : แปล
พี่ที่รู้จักกันคนหนึ่งเคยเอ่ยประโยคสะท้อนใจว่า
เขารักที่จะเขียนจะอ่าน อยากเขียนหนังสือ แต่เมื่อนานวันเข้า
กลับพบว่าเขาเป็นเพียงนักอ่าน และเป็นได้เพียงนักอยากเขียนเท่านั้น
ประโยคนั้นตราตรึงในใจ กลัวว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็มิได้ต่างไปจากผู้รักการอ่านและเป็นเพียงนักอยากเขียนเท่านั้น ผมอ่าน เยฟิมอฟ ด้วยเห็นภาพสะท้อนอนาคตของตนเองหลายประการ เรื่องราวที่ ตัวละคร บ. ให้กำลังใจต่อเยฟิมอฟเสมือนเรี่ยวแรงของตนเองที่หันมาปลอบประโลมต่อตนเอง เข้าใจว่ามีผู้คนอีกมากมายที่มีความใฝ่ฝันจะเดิน จะแสวงหา และลงมือทำสิ่งที่วาดหวัง
แต่หนทางช่างห่างไกล และไม่อาจจินตนาการได้ว่า จุดหมายนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร ทอดอาลัยจนกระทั่งในสำนึกโพล่งประโยค “ฉัน – ฉันไม่มีความสามารถ!” ออกมา ผมเพียงรู้สึกว่าอยากให้หลายคนได้อ่านคำปลอบประโลมของ บ. ต่อเยฟิมอฟนี้ เผื่อกำลังใจและความยโสในความใฝ่ฝันจะคุโชน เกิดประกายแรงกล้าขึ้นมาอีกหน
เพียงสนทนากับตัวเอง ก็เท่านั้น...
5 Comments:
อืมมม...ยาวอ่ะ ผมอ่านตรง Comment ข้างล่างก่อนแล้วกัน แต่ยังไม่อ่านตัวบท (ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ของดอสโตเยฟกี้มาก่อนเลยแฮะ)
ไว้กลับมาเก็บทีหลัง
แต่หนังสือนี้ นอกจากเป็นเข็มทิศแล้ว ยังเป้นยาบำรุงใจได้อีกด้วยจริง ๆ
หวัดดีต้น
เราก็เพิ่งพบเหมือนกันว่ามีเล่มนี้อยู่
งานเรื่องนี้เป้นงานเขียนช่วงรอยต่อระหว่างที่ดอสโตเยฟสกี้รอดหวุดหวิดจากการยิงเป้าและไปรับโทษที่ไซบีเรีย ปี 1859 เขากลับมาทำงานเรื่องนี้ต่อ แต่ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ ทำให้ Netochka Nezvanova กลายเป็นงานที่ค้างคา ในต้นฉบับทั้งหมดแบ่งเป็นสามภาค ส่วนที่เป็นเรื่อง เยฟิมอฟ นี้มาจากภาคแรกที่ผู้แปลหยิบออกมาแปล เพราะคิดว่ามีเอกภาพในตัวเองลงตัวสำหรับการเป็นเรื่องแต่ง...
ส่วนเนื้อหาไม่เล่าหรอก หาอ่านเองดีกว่า
เป็นนักอยากเขียน
ก็ยังดีนักไม่อยากเขียน
เพียงมีความฝันอยู่ในใจ
ก็ไปไกลกว่าคนอื่นได้โข
รออ่านงานพี่ยีนอยู่นา
เราอยากเป็น "นักอยากวาดเขียน" รอใครสักคนที่รู้จักทำหนังสือ แล้วให้เราวาดภาพประกอบให้น่ะ
555
qzz0727
malone souliers
bape clothing
jimmy choo shoes
fingerlings monkey
under armour outlet
moncler jackets
louboutin shoes
coach outlet online
ray ban sunglasses
michael kors
Post a Comment
<< Home