the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, June 22, 2006

วันนี้...

วันนี้
นอนกลางวันอีกแล้ว...
นั่งนอนอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้อง ตกบ่ายกำลังจะดูหนังการ์ตูนแผ่นที่เพื่อน
ส่งมาให้จากเชียงใหม่ (ฮูมแปร๋นนนนน เพื่อนหมีพูห์)
เปิดได้เพียงช่วงของไตเติ้ลเท่านั้น
มาตื่นอีกครั้ง เมื่อกลางเรื่องแล้ว (เฮ้อ)
จึงตัดสินใจปิดทั้งโทรทัศน์ เครื่องเล่นและเปลือกตาลง

มาตื่นอีกครั้งหลังสองชั่วโมงล่วง
เปล่าครับ ไม่ใช่หลับเต็มตา พอเพียง
แต่เป็นเสียงโทรศัพท์กรีดดังจากมุมหนึ่งของห้อง
บนหน้าจอปรากฏชื่อของคนโทรมา พี่ชาย ผมเอง

"สวัสดีครับ"
"เออ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ไม่ได้คุยกันนานเลย"
"สบายดีพี่" ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า
"พอดีโทรไปคุยกับพ่อมา ถามว่ายีนไม่ค่อยได้โทรกลับบ้าน
ก็เลยโทรมาคุยด้วยหน่อยน่ะ
"
"ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อเลยครับ แต่หลังๆ แม่โทรมาหาบ่อยน่ะพี่"
"มีเงินใช้ไหม"พี่ถามอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่เพียงตามมารยาท
"มีครับพี่ เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะมีอีกก้อนจากที่ทำงานมาใช้ด้วยครับ"
"อืม ช่วงนี้พี่ก็ไม่ได้พักเลย เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปเรียน"
"ครับพี่ แล้วแป้งเป็นไงบ้างพี่ อ้อแอ้หรือยังครับ"
"เออ มันก็แจ๊บๆ อ้อแอ้ เป่าปากปรือๆ ตามประสาของมัน"
"ฮ่าๆๆ"
ผมหัวเราะเมื่อนึกภาพหลานสาวทำอย่างนั้นออก
"เออ ไว้มีอะไรก็โทรมาคุยเล่นบ้างนะ หรือถ้าว่างๆ ก็แวะมาหาบ้าง"
"ครับ"
ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก แถมด้วยรอยยิ้มแหยๆ
หลังสายโทรศัพท์ที่พี่ไม่ได้เห็น
"เออ แค่นี้แหละ ไว้คุยกัน"
"ครับพี่ สวัสดีครับ"


ผมเกือบลืมไปแล้วว่าพี่มีภาระเรื่องการเรียนเพิ่มเข้ามาด้วยในระยะหลัง
พี่มีปัญหาชีวิตของพี่ ที่ทำเอาผมรู้สึกว่าเป็นคนนอก
เพราะพี่เลือกจะแบกรับมันอยู่คนเดียว
พี่ไม่บอกใครในบ้านเลยจนเมื่อหลานสาวของผมกำเนิดมา
ผมจึงมีส่วนได้แบกรับส่วนเสี้ยวของความรู้สึกอึดอัดในชีวิตของพี่บ้าง

ผมยังไม่ปรารถนาจะเขียนถึงปัญหาของพี่ชายที่ผมรู้สึกว่า คือ Hero เสมอมา
ลงในพื้นที่สาธารณะเช่นนี้ มีเรื่องอีกมากที่ผมต้องเรียนรู้จากพี่
แต่สักวันหนึ่ง ผมอาจเข้าใจอะไรได้มากขึ้น

ผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนอะไร เพื่อบอกถึงอะไรในวันนี้
เพียงระลึกถึงเรื่องราวในวันวาน

(คนที่เคยอ่านบล็อกของผมอาจรู้แล้วว่า
ส่วนใหญ่เรื่องราวในบล็อกนี้
คือเรืองเล่าจากความทรงจำที่หวนกลับมา
อาจเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อที่ผมมักนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
ทั้งที่ใช้ลมหายใจของวันนี้อยู่)

ผมนึกถึงหนังไทยเรื่องหนึ่งในวัยเด็กที่ทำเอาผมยังจำเพลงประกอบได้มาจนทุกวันนี้
หนังที่เล่าเรื่องของวัยรุ่นในยุคสมัยหนึ่ง สเก็ต เบรกแด๊นซ์ และ"สยามสแควร์"
วันนี้ ผมเข้ามานั่งเพลงเก่าของแมคอินทอช
จำได้ว่าผมเคยนำเพลงนี้ไปร้องและเขียนส่งครูในชั้น
เมื่อสมัยยังเรียนอยู่ชั้นประถมเท่านั้น

ผมไม่รู้จะเล่าเรื่องความคิดถึงที่มีต่อพี่ชายคนเดียวอย่างไร
เพียงแต่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กนั้น เราเคยนั่งฟังนิทานจากพ่อ เคยแย่งกันกินตาปลาทู
ข้าวคลุกน้ำปลากับกากหมูใต้บันไดที่ตอนนี้รื้อไปแล้ว
และครั้งหนึ่ง เราเคยนั่งดูหนังไทยกับฟังเพลงนี้ด้วยกัน

รักกันมากๆ นะพี่ พี่เหมียวและไอ้แป้ง ^^

ป.ล. ฟังเพลงที่ว่านั้นได้ ที่นี่ ครับ เพลงแม่น้ำนี้ชื่อนิจนิรันดร์
ที่จริงผมชอบอีกเพลงมากกว่า ที่ร้องว่า
"นกนางนวลนอนนิ่ง
เกาะกิ่งมะนาวนอนหนาว เจ้านกนางนวลนอนหนาว
เกาะกิ่งมะนาวนอนนิ่ง เจ้านกนางนวลนอนนิ่ง....
.....จึงตกจากกิ่งมะนาว! "

^^ ฮ่าๆๆ^^



26 Comments:

At 8:11 PM, Anonymous Anonymous said...

ผมเป็นพี่คนโต
มีน้องชายอีกสองคน
ไม่รู้ว่าน้องมันคิดยังไงเหมือนกัน

เราใกล้ชิดกันช่วงวัยเด็ก
ตอนโต ค่อนข้างห่างเหินกันน่ะครับ

ปล. ถ้าคุณยีนว่าง ลองไปดูหนังเรื่อง The World's Fastes Indian ที่สกาล่า สยามฯ ดูสิครับ
ได้กำลังใจและแรงฮึดจากหนังเรื่องนี้ได้ไม่น้อย
^^

 
At 8:23 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

ขอบคุณครับ คุณขาม
ผมกับพี่เป็นพี่น้องที่คุยกันเรื่องชีวิตมาก
ส่วนหนึ่งเลยทำให้ผมรู้สึกว่าควรแบ่งเบาพี่ได้ดี
กว่านี้ แต่ก็นั่นแหละครับ

ขอบคุณมากสำหรับหนัง
ช่วงนี้ เบี้ยน้อยหอยน้อย ^^
แต่จะไม่พลาดครับ ถ้าลองบอกว่า
ได้กำลังใจและแรงฮึดล่ะก็ ฮ่าๆๆ

ขอบคุณครับ (สามหนแล้ว จะขอบคุณอะไรเยอะแยะจิตใจอ่อนแอนะเนี่ย ^^)

 
At 9:52 PM, Anonymous Anonymous said...

The World's Fastest Indian ครับ
เข้ามาอ่านแล้วพึ่งเห็นว่าพิมพ์ผิด
วันนี้มึนๆ น่ะครับ 555+

 
At 11:28 PM, Anonymous Anonymous said...

555+
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเราเป็นรุ่นเดียวกัน เด็กหยามไง--
ดู สยามสแควร์ ในตอนนั้น ก็ทำเอาพี่จ๋อยรู้ตัวเองว่าเป็นเด็กแก่แดดตั้งแต่นั้นมา...

ก็เพลง แม่น้ำนี้ชื่อนิจนิรันดร์ พี่จ๋อยเอามาหัดร้อง แล้วก็เป็นเพลงเก่งประจำตัวเวลาออกไปยืนร้องเพลงหน้าห้อง แถมยังเกิดอาการเศร้าซึมทุกครั้งเวลาที่ร้องเพลงนี้ ทั้งที่ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยมั้ง

พี่จ๋อยเองก็มีวัยเด็กไม่ต่างจากยีนนัก นั่งดูหนังไทยในจอทีวีร่วมกับพี่ชาย กินข้าวร่วมกัน ตีกันบ้างบางครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นกลับค่อยค่อยเลือนหายไปเมื่อเราต่างเติบโตขึ้น...

อีกประมาณ 2 เดือนพี่จ๋อยก็กำลังจะมีหลานชายแท้แท้เป็นของตัวเองแล้ว ตื่นเต้นเหมือนกัน... ขณะเดียวกันก็ยังคงมีความเศร้าใจบางอย่างลอยอ้อยอิ่งวนเวียนอยู่ในจิตใจ

หลายครั้งที่เราห่างเหินกับคนในครอบครัว... แต่ทุกครั้งที่เรากลับไป ความห่างเหินนั้นก็กลับต่อกันได้สนิท เหมือนที่ผ่านมาเราไม่เคยอยู่ห่างกันเลย

โทรกลับบ้านบ่อยบ่อยล่ะ แล้วเราจะรู้ว่าโลกยังมีที่ทางอุ่นอุ่นให้เราอยู่จริงจริง

 
At 1:45 AM, Anonymous Anonymous said...

ไม่ได้แวะเข้ามาหาพี่ยีนเสียนาน
เพราะคอมผมเจ๊งอยู่ครับ (อาศัยเครื่องในมอ กับเครื่อง Net Cafe ลูกเดียว)อุ้ม CPU เข้า-ออก ร้านจนพนักงานแทบจะชวนไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว
อยากทำอัลบั้ม KO Computer (วง RadioHate) ขึ้นมาล้อเลียนเจ้าเครื่องบ้านี้จริง

แอบรู้สึกด้วยคนว่าบันทึกของพี่ยีนนั้นมักมีเรื่องจากอดีตมาเสียส่วนมาก แต่ทำไงได้ ถ้าอดีตมันมีอะไรให้เล่า เล่าสนุก ก็อยากเล่า

 
At 2:41 AM, Anonymous Anonymous said...

บางครั้ง...
การที่ใครบางคนมองว่าเราเป็น hero
ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอก
เพราะภาพของเราในสายตาเขา..
อาจจะดูดีกว่าที่เราเป็นอยู่จริงๆ
และเราจะยิ่งรู้สึกแย่
ถ้าทำให้เขามองเห็นด้านอ่อนแอของ hero...

อันที่จริง..
เรายังไม่เคยเป็นฮีโร่หรือชีโร่ของใครหรอกนะ
แต่แค่รู้สึกว่า 'ถ้าเป็นเรา'
เราคงเลือกที่จะเก็บความรู้สึกหนักๆ ไว้กับตัวเอง
แทนที่จะเปิดเผยด้านอ่อนแอของเราให้คนที่เชื่อมั่นในตัวเราเห็น
เพราะอย่างนี้แหละมั้ง เราถึงจัดการกับน้ำหนักของความคาดหวังไม่ได้ดีเลยสักครั้ง

ไม่รู้ว่ะยีน
ทำไมเราถึงได้พูดเหมือนกับว่าตัวเองรู้ดีไปหมดซะทุกเรื่องอย่างนี้นะ!
ขอโทษจริงๆ สำหรับความเห็นแบบ 'ข้ารู้ดี'
ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย

จริงๆ ก็แค่อยากจะบอกว่า
ลองเปิดใจมองใครสักคน
ในแบบที่เขาเป็นอยู่จริงๆ เถอะ
เขาจะได้กล้าปล่อยวางน้ำหนักบนบ่าลงบ้าง...

 
At 10:30 AM, Blogger AUY ^ ^ said...

เป็นลูกคนเดียวอ่ะพี่ยีน
อยากลองมีพี่มีน้องกะเค้าดูบ้าง
อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง

เราอยากมีพี่ชายนะ จะได้คอยดูแลช่วยปกป้องเรา
และก็อยากมีน้องสาว จะได้จับแต่งตัวเล่น

^^

 
At 10:50 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

คุณขาม
ครับ เดอะ เวิลด์ ฟาสเตส อินเดียน เดอะ เวิลด์ ฟาสเตส อินเดียน เดอะ เวิลด์ ฟาสเตส อินเดียน เดอะ เวิลด์ ฟาสเตส อินเดียน เดอะ เวียนฟาสเตส อินเดิน เดอะฟาสเวียน อินเตส เอ่อ เดอะ เตสเวียน ฟาสอิน...เอ่อ....บึ้ม!!! (เสียงสมองระเบิด^^)

พี่จ๋อย
ไม่!!! ไม่นะ!!
โธ่ กลายเป็นเด็กหยามรุ่นเดียวกับพี่จ๋อยไปซะแล้ว^^
เพลงนี้ทำเอาผมชอบมากๆ เหมือนกันครับ พี่ต้นวงศกร รัศมีทัต นางเอกไม่แน่ใจว่าชื่อกบหรือเปล่า (เอ แปลกๆ หนาจำผู้ชายได้ดีกว่าหญิงเนี่ย^^) เขียนใส่สมุดเรียนไว้ตั้งแต่สมัยประถม ก่อนที่ลายมือจะเปลี่ยนรูปจนไม่อาจกลับไปเขียนด้วยลายมือเช่นนั้นอีกแล้ว

ผมเลิกตีกับพี่ชายมานานมากแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นพี่ที่ดีด้วย เราอายุห่างกันประมาณสี่ปี แถมพี่ยังเรียนก่อนเกณฑ์ทำให้ด้านการศึกษาเราห่างกันประมาณห้าปี เมื่อผมเข้าม.1 พี่ก็อยู่ม.6 อีกเพียงปีเดียว ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในสถานศึกษาเดียวกันยาวนานสักที

โห หลานชายพี่จ๋อยชอบสาวอายุมากกว่าเกือบปีไหมครับ น้องแป้งยังโสดนะ ^^ (ก็แน่สิ เพิ่งเก้าเดือนจะมามีแฟนอะไรวุ้ย)

 
At 10:51 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

บูมเหวย
อืม ขอบใจมากบูม
เราอาจลืมคิดถึงข้อนี้ไป
แต่มีครั้งหนึ่งที่พี่เราต้องการกำลังใจจำนวนมาก แม่ให้เราเขียนจดหมายไปถึงพี่ มีเพียงครั้งนั้นเท่านั้นแหละที่เราเขียนสิ่งที่คิดลงเป็นตัวหนังสือถึงพี่บอกเขาว่า ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ยังเป็นHeroเสมอในสายตาเรา ซึ่งนั่นรวมถึงข้อผิดพลาดต่างๆ (ตามนิยามทั่วๆ ไป)ที่อาจเกิดขึ้นด้วย

อืม ถ้าเป็นเราก็เลือกเก็บสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่แล้ว ไว้ภายในเองมากกว่า เพียงแต่เมื่อมองจากสายตาของเราที่เป็นน้อง จากสายตาของคนที่เป็นห่วงกัน เรารู้สึกว่าอยากจะแบ่งเบาความทุกข์ที่มีอยู่ของพี่บ้าง พี่เราเก็บมันไว้คนเดียวโดยที่มีเพียงเพื่อนสนิทสองสามคนเท่านั้นที่รู้ และไม่มีใครในครอบครัวเลยที่รู้ เราเป็นคนแรกที่พี่เลือกจะพูดคุยด้วย ซึ่งเรายินดีที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราได้ร่วมแบกรับความรู้สึกบางอย่างอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางบ้านจะรู้ทั้งหมด

เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเราจะสามารถจัดการกับความคาดหวังได้มากแค่ไหน นอกจากหลีกเลี่ยงที่จะแบกรับมันแต่แรก ^^

ดีแล้วล่ะ ที่บูมเสนอมุมมองอีกด้านให้เราบ้าง
เพราะมันจะช่วยให้เราเห็นเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น
เรื่องให้คำปรึกษาไม่ได้มาจากการที่เราดีเด่กว่าคนอื่นนะ เพราะไม่รู้ยังไงจนทุกวันนี้เพื่อนหลายคนยังเลือกเราเป็นคนคุยด้วย(หรือว่าที่ระบายดี)ในเรื่องควารักความสัมพันธ์ ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ เราไม่เคยประสบความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้เลย ^^ (ฮ่าๆ)

แต่สำหรับเรื่องเรากับพี่ชายน่ะ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ยังทำให้เรารู้สึกดีเสมอ คือ ช่วงหนึ่งหลังจากกลับจากการไปโบกรถทางโบกใต้ เราก็กลับมาบวชที่บ้าน พี่ชายกับพี่ลูกป้าอีกคนมานั่งคุยด้วยในวันที่เราครองผ้าเหลืองแล้ว (มันก็ไอ้คนเดิมนี่ล่ะ^^)พี่ชายถามเราถึงเรื่องราวชีวิตตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกัน เราเล่าเรื่องจำนวนมากได้ไม่ถนัดปาก เพราะผ้าเหลืองทำให้ต้องพูดเพราะๆ ^^ แต่การคุยกันของเราพี่น้อง ทำให้พี่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเอ่ยปากออกมาว่า เราพี่น้องคุยกันเยอะดี คุยกันเรื่องชีวิตเยอะดี เขาบอกว่าเขากับพี่ชายไม่ได้คุยกันมากขนาดที่เราคุยกัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่า เรากับพี่ชายก็คุยกันอย่างนี้อยู่เสมออยู่แล้ว ในวันเวลาที่ได้มาพบกันที่บ้าน บางเรื่องไม่ต้องคุยก็ยังหัวเราะในเรื่องเดียวกันได้

อืม ขอบใจคำแนะนำของบูมอีกหน
อย่างน้อยหลังเหตุการณ์ที่พี่โดดเดี่ยวในการแบกรับเช่นนั้น เราก็ได้เห็นพี่ที่เป็นมนุษย์มากขึ้นมีข้อผิดพลาดมากมาย เพราะเรายังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ ^^

ป.ล.ว่าแต่ยากจังเปิดใจมองใครสักคนแบบที่เขาเป็นอยู่จริงๆ เนี่ย เพราะบางทีเราก็มองเห็นเพียงด้านที่เขาอยากให้เราเห็นอ่ะ จะพยายามจ้า จะพยายาม ^^

น้องอุ๋ย
น่ากลัวจัง มีน้องไว้จับแต่งตัวเล่นเนี่ย น้องต้องกลัวแน่ๆ เลย
ส่วนพี่ชายน่ะ เขาจะหวงน้องสาวอย่างน้องอุ๋ยไหมน้า ^^
(บ้า มีอยู่แล้วล่ะเนอะ)

 
At 10:56 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

เฮ้ย.. ลืมตอบของต้นอ่ะ (ที่จริงอาศัยก๊อปมาวาง แต่ดันก๊อปพลาดตกหล่น โทษทีว่ะ ^^)

ต้น
คอมพ์เราก็สุ่มเสี่ยงจะเกิดปัญหาล่ะ เมื่อวานนี้สแกนไวรัสพบแล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีกำจัดมันเลย ยังเสนอหน้ายิ้มแฉ่งทุกครั้งที่สแกนซ้ำ

สำหรับเรื่องในบล็อกน่ะ เราก็รู้สึกกับตัวเองเช่นนั้นว่าทำไมชอบเขียนถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ อาจเพราะนิสัยกระมัง ส่วนหนึ่งชื่อบล็อกเราก็บอกถึงการร่วงหล่นนะ ระหว่างที่เราเดินทางเข้าสูความตายตามคำบอกเล่าของคนหลายคนว่า จะเห็นภาพชีวิตของตนเองฉายย้อนเสมือนภาพยนตร์ บางทีเรื่องพวกนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่เราจะได้เห็นเมื่อวันคืนนั้นมาถึงก็ได้ ก็ว่ากันไป ^^ ฮ่าๆ

 
At 11:02 AM, Anonymous Anonymous said...

ฮี่ฮี่ฮี่
หัวเราะขำนำร่องมาก่อนน่ะ)
เมื่อคืนอัพสเปซตัวเองตอนดึกๆ แล้วเผลออินกะสิ่งที่เขียนมากไปหน่อยอะยีน
คอมเมนต์เมื่อคืนเลยดูเครี้ยด-เครียดอย่างที่เห็น
แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรหรอก

และจริงๆ (อีกที)
เราว่ายีนจัดการกับชีวิตตัวเองได้ดีแล้วนะ

ส่วนบางเวลาที่งงๆ ก่งก๊งบ้าง...
มันก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละ

ปล.ยีนเป็นคนตื่นเช้าจังแฮะ

 
At 12:36 PM, Anonymous Anonymous said...

อ่ะ--

ไม่ใช่รุ่นเดียวกันก็ด้ายจ้ายีน...

เข้ามาอ่านที่บูมและยีนตอบกันแล้วนะ

ดูเหมือนบูมจะอู้งานเข้ามารึป่าวนั่นน่ะ 55+

อ้อ...แล้วก็หนังแผ่นนั้นพี่จ๋อยขออนุญาตส่งต่อให้บูมดูนะ เรา(เกือบ)เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้วนี่ หุหุ

เผื่อว่าอ่ะนะ เผื่อว่า...ดูกันแล้วจะช่วยเพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้กับพวกหัวใจเหี่ยวเหี่ยวขึ้นมาได้บ้างเนอะ

 
At 7:39 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

บูมเหวย

อืม เพิ่งไปอ่าน-ตอบบล็อกของบูมมา
เรื่องของรักหายทำให้เราเศร้าเมื่อมองหาไปแล้วไม่เห็นมันอยู่ และยิ่งคว้างเมื่อไม่รู้ว่าเราจะได้พบกับมัน(เขา/เธอ)อีกไหม?

ถ้าเราจัดการกับชีวิตตัวเองได้อย่างดีบูมว่าคงดีหรอก
เพราะส่วนใหญ่มันจะมัวทำเรื่องราวไม่ได้ความเสียส่วนใหญ่มากกว่าอ่ะ ^^

เอ่อ..บูม เอ่อ..สิบโมงเช้ากว่าๆ มันจะเที่ยงแล้วนะ เขาเรียกสายจ้า (ฮ่าๆ) สงสัยจะทำงานจนวันเวลาบิดผันแล้วอ่ะ ดูแลตัวเองหน่อยเด้อ บูม

พี่จ๋อย^^

ถึงจะพยายามหลีกหนียังไง ผมก็ทันดูสยามแควร์จากจอโทรทัศน์แบบที่พี่ว่าแหละครับ เป็นคนรุ่นเดียวกับพี่จ๋อยไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย ฮ่าๆ ^^

ส่วนหนังแผ่นอ่ะ เอาเลยครับ ว่าแต่ เอ่อ...พี่จ๋อยกับบูมอ่ะ ยังห่างชั้นจากรุ่นเฮฟวี่เวฟอย่างผมเยอะพี่ ฮ่าๆๆ ถ้ามันช่วยให้จิตใจเหี่ยวๆ พองฟูได้คงดีไม่น้อยเลย ^^

 
At 7:50 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย
ลืมถามไปอย่างหนึ่งอ่ะ
พี่จำหนังไทยเรื่องหนึ่ง(ในยุคเดียวกับสยามสแควร์)ได้ไหมว่ามันชื่อเรื่องอะไร รายละเอียดที่ผมจำได้มีเพียงว่า คือเรื่องของพระเอกกับนางเอกที่แย่งกันค้นหาสัญลักษณ์ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อหาที่ซ่อนฟิล์มที่จะบอกถึงที่ซ่อนขุมทรัพย์ทหารญี่ปุ่น ตอนท้ายพระเอกกับนางเอกก็ร่วมมือกัน จนสามารถรวบรวมสัญลักษณ์ทั้งหมดได้
ซึ่งทุกคนบอกพระเอกว่าอย่าเอาไปให้คนญี่ปุ่นเลย แต่พระเอกไม่เชื่อสุดท้ายฟิล์มที่พระเอกนำไปให้เพื่อแลกกับเงินค่าจ้างนั้นคือ การ์ตูนเรื่องโดราเอมอน ^^
จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไรแล้วอ่ะพี่ พี่พอจะนึกได้เลาๆ ไหมครับ (ไม่แน่ใจว่าเรื่อง รักอุตลุด ไหม ที่ปัญญา นิรันดร์กุลเป็นพระเอกแล้วมีฉากแข่งสเก็ตอ่ะพี่)

 
At 3:49 PM, Anonymous Anonymous said...

ยีน--

พี่จ๋อยนึกไม่ออกจริงจริง หนังเรื่องที่ยีนว่านั่นน่ะ ไม่คุ้นเลย ท่าจะไม่เคยดูแฮะ
แต่พอจะนึกออกอยู่เรื่องนึง และจำได้ว่าตอนนั้นชอบมั่กมั่ก(อ่ะ ขอวัยรุ่นนิดส์นึงนะ)จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว...ที่มีเฮียเล็ก-คาราบาว กับ อนุสรา จันทรังษี เล่นน่ะ นางเอกเป็นคนญี่ปุ่นหนีมาอยู่ในเมืองไทย แล้วพระเอกก็พาไปอยู่ด้วยกันที่ห้อง อะไรประมาณนี้น่ะนะ คุ้นป่ะ ว่าเรื่องอะไร

เอ๊ะ ยีนนี่...หลอกถามอ่ะดี๊ อะไรที่มันเก่าเก่าน่ะ ใช่ว่าพี่จ๋อยจะทันไปซะหมดนา

บอล--

เสื่อมไม่สร่างซาเลยนะยะ เรื่องมีน้องนั่นน่ะ รู้ว่าช่วยได้...แต่ไม่ต้องมาป่าวประกาศกันหรอก แต่เอ...ก็ไหนว่า...สองสามเดือนมานี่ มัน...อะไรนะที่ลดลดลงน่ะ โฮะ โฮะ โฮะ

 
At 5:43 PM, Blogger eek said...

ยีนจะมาตอบอะไรเยอะแยะเนี้ย

 
At 1:40 PM, Blogger eek said...

คราวที่แล้วแซวเล่นนะ มาเม้นต์จริงล่ะ

เราเป็นพี่คนโต สนิทกับน้องตั้งแต่น้องยังไม่รู้ความ
เคยอ่านการ์ตูนขายหัวเราะให้น้องฟัง ขำอยู่คนเดียว น้องมันดูเป็นแต่ภาพ ร้องเพลงกล่อมน้องนอน
เคยแกล้งตายให้น้องร้องไห้

ตอนนี้ก็รู้สึกว่าห่างๆ กัน ไม่มีเรื่องลึกๆ อะไรให้คุยกัน
เจอกันก็คุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วไป

น้องเคยซื้อนาฬิกาเรือนละสองพันให้เรา แต่ว่ามีคนขโมยของเราไปแล้ว น้องเคยซื้อเสื้อยืดบอดี้โกล์ฟตัวละ 500 ให้ด้วย ตอนนี้ไม่ใส่ เรายกให้คนอื่นไปแล้ว คนนั้นก็คงทิ้งเสื้อไปแล้ว(ไม่รู้ทำไมน้องมันมีเงินเยอะกว่าเรา ตอนนี้น้องมันเพิ่งเข้าปี 1 เอง)

 
At 3:44 PM, Anonymous Anonymous said...

ต๊ายๆฟังเพลงแมคอินทอช ใครค่ะไม่รู้จักเลย คุณยีนนี่คงแก่มากแล้วสิค่ะเนี่ยะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ คิดถึงแกหว่ะไม่เจอเลย ช่วงนี้ติดแฟนเฮ้ยติดสอบเลยไม่ค่อยได้ออนแ
ล้วจะมาเยี่ยมบล๊อกแกบ่อยๆหน่ะ
เพื่อนขวัญชีวาเองจ้า

 
At 11:13 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย--

กร๊ากกกกกก ^^
หนังเรื่องที่พี่จ๋อยว่า ผมก้จำไม่ได้เหมือนกันพี่ แต่เคยเห็นปฎิทินรูปเฮียเล็กกับคุณกบมาบ้าง ยังสงสัยว่าทำไมถึงได้มาถ่ายคู่กันน้า? อาจจะช่วงนั้นคาราบาวเล่นหนังสองสามเรื่องไม่รู้เรื่องไหนอ่ะพี่

ไม่ได้หลอกถามนะ ^^

แต่อะไรที่มันเก่าๆ ก็ต้องถามพี่ถามเชื้อแหละครับ ไม่งั้นก็ต้องถามพ่อ ถามลุง ถามปู่ ถาม... เอ..ชักแก่ไปใหญ่ พอดีกว่า ^^

อิ๊กเอ๊ย--

ไรอ่ะ ตอบเยอะแล้วมีปัญหาเรอะ เดี๊ยะๆ ^^

อืม จากที่เล่าอ่ะ สงสารน้องอิ๊กพิกล ฟังเพลงกล่อมด้วยอ่ะ ^^ แต่แกล้งตายอ่ะ มันต้องคนเจอหมีสิ

น้องรวยอ่ะ จีบน้องอิ๊กดีกว่า ^^

คุณขวัญชีวา--

ทำเป็นไม่ทันแมคอินทอช ก็ช่วงก่อนที่แกจะร้องเพลงจรัล มโนเพ็ชร เพิ่งออกชุดแรกอ่ะ โฟล์คซองคำเมืองนิดเดียวเอง
ถ้าติดสอบขอให้ขยัน สอบได้
ติดแฟนขอให้ แฟนเบื่อ ฮ่าๆๆ

โอม เพี้ยง---!!!!

 
At 12:37 AM, Anonymous Anonymous said...

ยีน--

พี่จ๋อยเพิ่งเข้าไปอ่านที่ยีนเขียนตอบในบล็อก ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เรื่องลุงน่ะ...

แล้วคนที่ต้องเผชิญโลก คนที่ยังต้องทุกข์ สุข ร้อน หนาวต่อไป ก็คือคนที่อยู่

คนที่เราเห็นว่าจากไป...ที่จริงเขาก็แค่หลับลึก หลับนานไปก่อนเราเท่านั้นเองนะ

ยีนเองคงเข้มแข็งอยู่แล้ว แต่หากมีอะไรไม่สบายใจก็คุยกันได้ทุกเมื่อเลยนะ พี่จ๋อยเองทะลึ่งตึงตังไปบ้าง แต่ก็คุยเรื่องจริงจังได้นาเฟ้ย

 
At 7:47 PM, Anonymous Anonymous said...

เสียใจด้วยนะ ยีน เรื่องของคุณลุง
กำลังจะมาทิ้งคำถามว่าได้รับจดหมายหรือยัง
อืม....
บางครั้งชีวิตก็เหมือนกับต้นไม้นะ
เกิดเป็นเหมือนโคนต้นไม้ ยอดไม้ใบบนสุดคือความตาย
ไม่มีใครพรากแยกมันไปได้ เป็นต้นไม้ต้นเดียวกันแท้ๆ

เราคิดเสมอว่าผู้ตายไม่จากไปไหน
ยังอยู่กับเราเสมอในความคิด วิธีปฏิบัติตัว ที่ถ่ายทอดมาสู่เรา
หากจะหลงเหลืออะไรไว้ในวันสุดท้ายที่เป็นเถ้า คือ มรณานุสติ
...ความตายให้สติว่า จงอย่าประมาทในชีวิต

 
At 9:53 AM, Anonymous Anonymous said...

ยีน--

พี่จ๋อยแอบเข้าไปดูบล็อกพี่ชายยีนมาแล้วล่ะ(เออ...ทำไมต้องแอบ, แล้วความลับจะแตกมั้ยนั่น เข้ามาเขียนไว้อย่างนี้)

น้องแป้งน่ารักมาก ตาโตเชียว อิจฉาอิจฉา อยากได้หลานผู้หญิงอ่ะ

แล้วก็เพลง อิคคิวซัง ตอนจบนั่น พี่จ๋อยชอบมาก...จำได้ว่าดูอิคคิวซังตอนเย็นเย็น(หลังจากกลับจากโรงเรียน)บรรยากาศกำลังโพล้เพล้ แล้วพอจบปุ๊บเพลงนี้ก็ขึ้น มีเจ้าตัวตุ๊กตาไล่ฝนหน้าเศร้าสร้อย ปลิวลมน้อยน้อย ฟังทีไรใจมันหวิวหวิวชอบกล ขนาดตอนเด็กนะนั่น

แล้วพอมาได้อ่านความหมายที่แปลไว้ในบล็อกของพี่ชายยีน โอ้...น้ำตาไหลพราก นึกถึงฉากแรกแรกในอิคคิวซัง ที่อิคคิวต้องจากท่านแม่เพื่อไปบวชที่วัดอังโคะขุจิแล้วมัน...แง๊ T_T

ป.ล. แล้วเรตติ้งบล็อกพี่ยุ้ยจะพุ่งกระฉูดมั้ยนั่น อิอิ

 
At 1:18 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย --
เวลาผมเดินทางไปเยี่ยมคนป่วยไม่สบาย ผมก็รู้สึกเหมือนไปนั่งเป็นเพื่อนคนในครอบครัวเขามากกว่า การจากไปของลุงก็คงเช่นนั้นด้วย ผมเดินทางไปงานศพด้วยเหตุผลสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละครับ ^^

ขอบคุณที่ทักถามและเป็นห่วงครับ

น้าจูน --
ขอบคุณที่เข้ามาทักถามและเป็นห่วงเช่นกันครับ
ผมรู้สึกว่าความตายไม่น่ากลัวอย่างที่เคยเขียนไว้ในตอนหนึ่งเรื่อง "ความตาย" ความหวาดกลัวมันเกิดจากการจากคนที่เรารักเสียมากกว่า เห็นด้วยกับน้าที่ว่าคนตายไม่ได้จากเราไปไหน เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในตัวเรา ในวิธีคิดยังมีอยู่
เคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เขาว่า คนตายไม่ได้ตายไปจากเราทันที หากแต่ค่อยๆ ตายไปจากเรา ทีละน้อย เขาค่อยๆ หายไปจากความทรงจำและลมหายใจที่มีชีวิตของเรา จนเมื่อวันหนึ่งเขาจึงได้ตายไปจริงๆ ต่างหาก (ถ้าเราจะหลงลืมไปบ้างน่ะนะ)

พี่จ๋อย (อีกรอบ^^)--
ฮ่าๆ หลานสาวน่ารัก ภูมิใจ ^^
ช่วยแก้หน้าความน่าเกลียดในตัวอาได้ วะฮะฮะ
ไว้หนวดเพิ่มอีกดีกว่า
ตอนมันโตเป็นสาวกว่านี้
หรือจะถือปืนด้วยดี?

เพลงอิ๊กคิวซังอยู่ในเสียงโทรศัพท์พี่ด้วยนิ พี่จ๋อย
ชอบเหมือนกันครับ อ่านความหมายแล้ว
ซึ้งเลยT-T ใจหวิวๆ พิกล
เห็นภาพการปลอบลูกแมวตัวน้อยเลยอ่ะพี่
(อืม ถ้าไม่มีใครไปโพสต์ว่ามาจากบล็อกของผมก็น่าจะไม่รู้อยู่นะพี่ พี่ผมยังไม่รู้เลยมั้ง ว่าผมไปแอบอ่านน่ะพี่ ดังนั้น หวังว่าจะแอบอ่านไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ ^^)

 
At 10:54 PM, Anonymous Anonymous said...

เสียใจด้วยนะครับคุณยีนเรื่องคุณลุง

ไม่รู้จะพูดอะไร แต่ผมคิดว่าความตายคือความสงบนะ

ความสงบที่หาได้ยากมากบนโลกใบนี้

 
At 2:32 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

ขอบคุณครับ คุณขามที่แวะมา

ผมสบายดีครับ
ความโศกเศร้าในชีวิตไม่ได้เกิดจาก
ความรู้สึกต่อการจากลาของชีวิตมานานแล้ว
ผมร้องไห้ให้ความตายของคนที่รัก ที่ผูกพัน
ครั้งหลังสุดเกือบสิบปีแล้วครับ

รู้สึกผิดอยู่เล็กๆ น้อยๆ เหมือนกันที่คิดเช่นนั้น
แต่ก็ยังอาศัยร้องไห้จาก เพลงที่ฟัง หนังที่ดู
หนังสือที่อ่านอยู่ครับ บางครั้ง บางที
บางเรื่องเล่าก็ทำให้รู้สึกเช่นนั้น แล้วต่อมน้ำตาได้ทำงานบ้างน่ะครับ

ความตายอาจเป็นความสงบที่หาได้ยากในโลกนี้
อย่างไรก็ตามขอบคุณครับที่แวะมา ^^

 
At 10:29 AM, Blogger Unknown said...

www0716

gucci handbags
off white
longchamp handbags
longchamp outlet
jordan shoes
suicoke sandals
michael kors handbags
moncler outlet
futbol baratas
oakley sunglasses









 

Post a Comment

<< Home