the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Friday, June 02, 2006

ความตาย...

ผมเชื่อโดยไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ยืนยันว่า
เมื่อผ่านการใช้ชีวิตมาระยะหนึ่ง
ทุกคนเคยระลึกและคิดถึงความตาย

แต่คำถาม คือ เราเริ่มรู้จักกับความตายครั้งแรก
ตอนอายุเท่าไหร่ และในเหตุการณ์ใด?

ผมนึกย้อนไปครั้งแรกที่นึกถึงความตาย
ผมอายุสักประมาณหกขวบได้
เปล่าครับ..ไม่ได้มีคนในครอบครัวจากไป
ไม่ได้พบประสบการณ์สะเทือนใจจากการสูญเสีย
แต่เป็นเรื่องที่ทำให้ผมกลัวความตายในวัยนั้น

แม่รับปริญญาปีนั้น...
ผมติดเข้ามาเมืองหลวงด้วย
มาอาศัยอยู่ในบ้านของญาติที่ผมไม่คุ้นเคย
วันนั้น ผมอยู่บ้านคนเดียว
(เข้าใจว่าเป็นความทรงจำที่ผิดพลาด)
หรืออย่างน้อยผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียว
ในบ้านแปลกหน้า...

นั่งดูหนังเรื่อง “ผีหัวขาด”
(น่าจะเป็น สรพงศ์ ชาตรี นำแสดง)
ก็กลัวตามประสาเด็กกลัวผี กลัวความมืด
กลัวลักษณะไม่น่าชมของบรรดาผีๆ
แต่...
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เชื่อมความคิดได้ว่า
ผีมาจากคนที่ตายไป คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
หมายถึง พ่อและแม่ด้วย หรอกหรือ?
ผมจำได้ว่า วิ่งเข้าไปนั่งอยู่ในห้องน้ำ มองรอบๆ ตัว
รอบๆ ห้องน้ำ คิดเรื่องมากมาย
ผมไม่ได้กลัวผีที่สรพงศ์นำแสดงอีกแล้ว
แต่ผมกลัวคนรอบตัวต้องกลายเป็นผี...
เป็นคนตาย และเราอาจไม่ได้อยู่ร่วมกัน
มีวันที่พ่อและแม่จะไม่ได้อยู่กับผม

สุดท้าย จำไม่ได้ว่าวันนั้นร้องไห้ฟูมฟายหรือไม่ ?
รู้เพียงความกลัวแล่นเข้าจับดวงใจ
ความกลัวที่เย็นเยียบ ความกลัวที่เงียบงัน

แต่, ไม่หรอกครับ
มันไม่ได้ตามหลอกหลอนวัยเยาว์ของผม
อาจเพียงหลังจากไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น
ผมก็หลงลืมว่า ผมหวาดกลัวความตาย
แต่ไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย

นานครับ... กว่าผมจะเรียนรู้ว่า
สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป
เคยร้องไห้เพราะของเล่นแตกหัก สูญหายไหมครับ
อาจเพราะเราไม่คิดว่า มันจะต้องเป็นเช่นนั้น

ผมร้องไห้ฟูมฟายก่อนที่ย่าจะสิ้นลม
ร้องไห้ในห้องที่ทุกคนต่างร้องไห้
ย่าจากไปช่วงประมาณตีสาม
โดยขณะที่ย่าจากไปผมกลับไม่ได้ร้องไห้เลย

ผมร้องไห้ เมื่อรู้ว่า
เพื่อนที่เพิ่งแยกกันเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้า
บวกรถเข้ากับต้นงิ้วข้างถนน
ผมไม่ได้เห็นลมหายใจสุดท้าย
แต่ผมร้องไห้...
พ่อเขียนบันทึกถึงสภาพแย่ๆ ในวันนั้นของผม

เมื่อผ่านเวลาไป ผมเรียนรู้มากขึ้นว่า
ทุกอย่างต้องแตกหัก สูญหาย เป็นไป
ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถเท่าทัน
เพียงแต่เรียนรู้ว่า มันจะเกิดขึ้นได้
พ่อว่า มันธรรมดาโลก คำพระท่านว่า อนิจจัง
กระนั้นผมก็คิดว่า ผมยังคงร้องไห้...

เมื่อผ่านความเจ็บปวดของชีวิตบ่อยครั้ง
ความตายก็ไม่ใช่เรื่องของการสูญเสียเท่านั้น
การเกิด การตายไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรอกหรือ?
การมีอยู่กับการจากไป ต่างกันตรงไหน?
ต้นไม้ที่งอกงามในวันนี้
คือดอก ใบ ที่ร่วงหล่นของวันก่อน
คือ ต้นไม้ คือ ชีวิตที่จากไปและกลับมา
ดอกไม้ที่บานในวันนี้มีถ้อยคำจากเมื่อวาน
รอยยิ้มของเด็ก คือริ้วรอยของความชรามาก่อน

อาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง เคยเปรียบเทียบ
ชีวิต ความตาย เหมือนเวลาในการสอบ
ทุกขณะที่เราดำรงลมหายใจนั้น เราใช้เวลาไปทุกขณะ
เราไม่เคยคิดว่าเราได้เดินเข้าใกล้เวลาที่หมดลงทุกที
ความตายไม่ได้มาเยือนเราเมื่อเวลาสิบนาทีสุดท้าย
แต่..มันดำรงอยู่กับเราเสมอมา
เราใช้เวลาก้มหน้าทำข้อสอบให้เต็มที่
ผมยังนิยมอาจารย์ว่า ในวันนี้ท่านหยุดทำข้อสอบแล้ว
อาจารย์ตั้งใจจะนั่งทบทวนข้อเขียนที่ได้ทำไป
ทบทวนและทำความเข้าใจมันอีกครั้ง

ในวันวัยเช่นนั้น, ผมจะเท่าทันเช่นอาจารย์ไหม ?
.......(ไม่รู้).....
จะมีโอกาสเช่นนั้นไหม ?
.......(ไม่รู้).....

เพียงแต่อย่างน้อยวันนี้
ผมไม่ได้หวาดกลัวมากเท่าเมื่อรู้จักกันครั้งแรก
ผมยังตั้งใจจะทำข้อสอบให้เต็มที่
สูดลมหายใจให้เต็มปอด
แล้วหายใจออก
ต่อไป...

ป.ล. ผมเขียนเรื่องนี้ขณะฟังเพลง A Love That Will Last ของ Renee Olstead
ต้องอ้างอิงและขอบคุณ ที่นี่ ครับ
ดันมาฟังเพลงรักขณะเขียนอีกแล้ว ^^

ป.ล.สอง ผมคิดว่าได้เขียนเรื่องที่ใครๆ ก็ใคร่ครวญ อาจไม่แตกต่างกัน
ถือว่าผมบันทึกความคิดไร้แก่นระหว่างร่วงหล่นจากสะพานเท่านั้นก็ได้ครับ,
เพียงสนทนา ^^

8 Comments:

At 7:59 PM, Anonymous Anonymous said...

ผมก็คิดถึง "ความตาย" ตอนอายุหกขวบ (ป.1) เช่นกันครับ

ผมผูกพันกับบ้านคุณยายฮะ เพราะช่วงก่อนเข้าเรียน ป.1 แม่ได้ไปฝากผมกับยายและน้าสาวให้ช่วยดูแล ผมเลยชอบไปบ้านยาย และชอบไปนอนค้างที่นั่น

มีคืนหนึ่ง ผมนอนค้างบ้านยายอีกแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นตกใจ

แต่วันรุ่งขึ้นกลับรู้สึกเสียใจ เพราะคืนนั้นมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับพ่อและน้องชายคนเล็ก โชคดีที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรมาก

ผมเสียใจ และรู้สึกใจมันหวิวๆ ถ้าอุบัติเหตุมันร้ายแรงกว่านั้น ... คือ แค่รู้สึก "เผลอ" ณ ช่วงเวลานึง ผมอาจจะไม่ได้อยู่กับคนที่ผมรักตลอดไป

หลังจากนั้น ทุกคืน ก่อนนอนผมก็สวดมนตร์ ไหว้พระ บางคืนก็ร้องไห้ไปด้วย ...
ผมขอให้คุณพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยคุ้มครอง พ่อ แม่ น้องชายทั้งสองคน ... คุ้มครองคุณยาย และน้าสาว และคนอื่นๆ ที่ผมรัก
ถ้ามีอะไรร้ายแรง ขอให้เกิดกับผมคนเดียว
ฟังดูเว่อร์ไหมครับ

นั่นคือความรู้สึกวัยเด็ก

เพราะผมก็จำไม่ได้แล้วว่า ผมเลิกสวดมนต์ และเลิกอธิษฐานแบบนั้นตอนอายุกี่ขวบ ...

...

เที่ยวงาน Jazz ให้สนุกนะครับ ^^
ปล. ผมเขียนซะยาวเลยอ่ะ ไม่รู้เล่าเรื่องอะไร 555+

 
At 9:14 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

นึกถึงความตายอยู่เสมอๆ
ไมได้กลัวตาย
แต่กลัวไม่ได้อยู่กะคนที่เรารัก

^^

 
At 11:21 AM, Anonymous Anonymous said...

เมื่อคืนฉันดู My Life without me ก่อนนอน
ฉันดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งที่สาม
ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอยากจะดูมันซ้ำ

ฉันเคยกลัวการตายคนคนใกล้ตัวมากกว่ามาก
หลังจากต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์การจากไปของคุณยาย
ช่วงแรกไม่อยากจะเล่าว่า ชอบเดินไปเปิดห้องนอนของพ่อกับแม่ดู
ไปยืนดูใกล้ๆว่ายังหายใจหรือเปล่า(-_-")
สักพักก็จึงทำใจได้จากคำของแม่ที่บอกฉันว่า
คุณยายไม่ได้ไปไหน แต่ยังคงอยู่ในตัวเราเสมอ
ในวิธีกิน วิธีพูด วิธีคิด ในทุกขณะของชีวิตฉันต่อจากนี้

ฉันดู My life without me
และคิดว่าฉันจะเข้มแข็ง
เตรียมการรับมือกับความตายของตัวเองได้เพียงนั้นหรือเปล่า
การอัดเทปถึงทุกๆคน เมื่อถึงวันที่เราจะจากไป
หาแม่คนใหม่ให้ลูกๆ ทดลองหาคนรักอีกสักคน

ฉันกับนางเอกของเรื่องมีอะไรคล้ายกันอย่างหนึ่ง

ฉันชอบแอบไปทำอะไรที่อยากทำ

อย่างโทรหาคนที่รักในรถ
บางทีก็แค่ขับรถไปตรงชายทะเลใกล้ๆบ้าน
โทรไปให้ใครบางคนได้ยินเสียงทะเลในโทรศัพท์

บางครั้งฉันก็แอบของไร้สาระที่ซื้อไว้ในรถ
เพื่อที่จะค่อยๆทยอยเอาเข้าบ้าน

บางทีฉันจะหาเครื่องอัดเสียงสักอันเอาไว้อัดเสียงถึงคนที่ฉันรัก
ทำอันใหม่ในทุกๆปี เหมือนที่เจ้าป้ากอแก้วทำ
....แน่นอนว่าจะไปแอบทำในรถ
(เป็นข้ออ้างในการซื้ออุปกรณ์อัดเสียง
....เพื่ออัดเสียงกีต้าร์ห่วยๆของตัวเอง ฮิ้วๆๆ)

คิดไปคิดว่าว่าจะไปอัพเรื่องนี้ในบล็อกตัวเอง
ดันเป็นเขียนคอมเม้นซะยาว

เที่ยวงานแจ๊สให้สนุก นะพี่หนวด

 
At 10:48 AM, Anonymous Anonymous said...

เริ่มคิดถึงความตายตั้งแต่เมื่อไหร่จำไม่ได้แล้ว--
แต่ได้เห็นมันบ่อยบ่อย ทั้งคนใกล้ตาย และคนตายต่อหน้าต่อตาเลยจริงจริง

เพราะต้องพาแม่เข้าออกโรงพยาบาลทุกสอง-สามเดือน เป็นประจำ โรงพยาบาลเป็นที่ที่เราเข้าใกล้กลิ่นความตายมากที่สุด...และเข้าใจ และคิดว่าคงคิดถึงมันในระดับที่ไม่ฟูฟายมากนัก,

ความตายไม่ได้น่ากลัว แต่การมีชีวิตอยู่กับความเศร้าสร้อย อย่างเดียวดายกับการจากไปของคนที่เรารัก...มัน...อาจทำให้เราใช้ชีวิตได้ยากโดยลำพัง

สำหรับพี่จ๋อย...เสียงโทรศัพท์กลางดึกและเช้ามืดเป็นเสียงอันน่าสะพรึง ที่ทำให้เราผวาและนึกถึงความตาย...มันเป็นอย่างนั้นทุกครั้งจริงจริงอย่างช่วยไม่ได้

 
At 10:00 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

อ่านคอมเม้นต์ของทั้งคุณ k.o.p.น้องอุ๋ย น้าดาวส่อง และพี่จ๋อยแล้ว นึกถึงนิทานเด็กเรื่อง
"แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ" ขึ้นมาเลย

คุณ k.o.p.
ผมเองก็จำไม่ได้ว่าเลิกสวดมนตร์ไปเมื่อไหร่และในวันคืนแบบใด ความกลัวอย่างที่ว่า ในวัยเด็กเรารู้เพียงว่าไม่สามารถควบคุมมันได้ มันจะเกิดขึ้น ผมก็เป็นครับ ทำได้เพียงหวังพึ่งบางสิ่งบางอย่างที่มีความสามารถเหนือเรา อย่างน้อยการะลึกถึงความตายก็ทำให้เรามีสติกับการเลือกวางท่าทีต่อชีวิตนะครับ

น้องอุ๋ย
อืม ในช่วงเวลาหนึ่งเราชอบอ่าน "ความตายอันแสนสุข" ของอัลแบล์ การ์มูส์ ความตายไม่ได้ยากเย็นใดๆ การมีชีวิตอยู่สิใช้ความกล้าหาญมากกว่า เอ..แต่ผู้บ่าวคนนั้นจะกลัวอะไรมากกว่ากันนะ ระหว่างน้องกับความตายอ่ะ ^^

น้าดาวส่อง
ผมยังไม่เคยดูหนังเรื่อง My Life without meเลยครับ แต่เท่าที่น้าเล่ามาผมว่ามันน่าสนใจมากเลย การใช้ชีวิตอยู่เพื่อคิดถึงคนข้าวหลังด้วย อาจเป็นเรื่องยากเย็นของผม แต่ผมชมชอบวิธีการจัดการเช่นนั้น สำหรับผมการมีชีวิตอยู่และใช้มันให้เต็มที่แล้ว คุ้มค่ากับลมหายใจก็สุขมากพอแล้วครับ ทำไมใช้คำว่าบางทีละครับ ซื้อเลยเครื่องเสียงมาบันทึกเรื่องราวและเสียงกีต้าร์แปร่งๆ น่ะครับ แต่ไม่ต้องส่งมาให้ผมฟังนะครับ (ผมเกรงใจ^^)

พี่จ๋อย
ความตายไม่ได้น่ากลัว แต่การมีชีวิตอยู่กับความเศร้าสร้อย อย่างเดียวดายกับการจากไปของคนที่เรารัก...มัน...อาจทำให้เราใช้ชีวิตได้ยากโดยลำพัง <<< ผมก็รู้สึกว่าสำหรับชีวิตเราแล้วเป็นเช่นนั้นเราเพียงหายไป แต่ในความรู้สึกของคนรอบข้างเราก็คงไม่ต่างจากที่เราต้องสูญเสียคนที่เรารักไป ผมยังจำภาพติดตาของพ่อเพื่อนคนที่ตายหลังจากแยกจากผมไปสิบห้านาทีได้ หรือภาพพี่นนท์ในงานน้องพอวา การได้อยู่ร่วมในงานศพเห้นการจากไปของคนที่รัก มันยากเย็นอย่างที่พี่ว่าจริงๆ

ป.ล. นอกเรื่องนิดนึงนะ ในงานแจ๊สน่ะ วันศุกร์ที่ผมไปคืนแรกมีคนเล่นเพลงที่ผมได้ฟังขณะเขียนบล็อกตอนนี้ด้วย เหมือนโดนผีหลอก แต่ชีวิตมันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ยินดีทายทักเข้ามาอีกก็แล้วกันชีวิต

 
At 10:34 AM, Anonymous Anonymous said...

เรื่อง my life without me เคยดูเมื่อสองปีที่แล้ว จำได้ว่า...ร้องไห้ซ้า...มันก็ไม่ได้ดีเลิศไปกว่าหนังดีเรื่องอื่นอื่นอะไรแบบนั้นหรอก แต่สิ่งที่เรามาคิดต่อหลังจากที่ได้ดูจบแล้วนี่สิ มัน...

ยังมีหนังที่มีความตายเกี่ยวข้องอยู่อีกหลายเรื่องที่ทำเอาตาบวมบวม อย่าง chrismast in august ไม่รู้ยีนเคยดูรึยัง เป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกแรกที่เข้ามาฉายในบ้านเรา, และก็อีกหลายเรื่องที่ตอนนี้นึกไม่ออก ยีนนึกเรื่องอะไรออกก็บอกกันบ้างนะ

ป.ล. ยีนตอบทุกคอมเมนท์เลย ดีจัง ชอบชอบ

 
At 9:11 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

chrismast in august ยังไม่เคยดูอ่ะพี่จ๋อย
หนังเกาหลีเข้ามาใหม่ๆ ผมน่ะ พลาดไปหลายเรื่องเลย
แต่ผมชอบนะ เวลาดูหนังแล้วได้หัวเราะ ได้ร้องไห้
ชะตากรรมมนุษย์จะแตกต่างกันสักเท่าใดไม่รู้สิครับ แต่เราวิ่งวนไปบนถนนไร้นามเฉพาะเช่นเดียวกัน ผมรู้สึกดีที่ยังมีความรุ้สึกร่วมไปกับชะตากรรมของมนุษย์ซึ่งไม่แน่ สักวันเราอาจต้องไปวิ่งบนถนนเส้นนั้นด้วย หนังเกี่ยวกับความตายนึกไม่ค่อยออกนะพี่ ชอบ bridge of madison country ชอบที่เรื่องของคนตายทำให้คนเป็นมีความรู้สึกรักคนรอบข้างมากขึ้น ชอบที่ลูกชายกลับไปถามคนรักของตนเองว่า คุณมีความสุขไหม?
เมื่อวานไปซื้อหนังแผ่นมาสามแผ่นอาจได้รู้จักโลกอีกด้านมากขึ้น ทั้งเรื่อง Any your mother,too เรื่องreal women have curves และเรื่องsideways ถ้าจะดีครับ
ตอนนี้อยากดู bow หนังเกาหลีที่ทำท่าจะเข้าโรงปลายเดือนอยู่ อาจได้ไปยลด้วยกันพี่ ^^

 
At 8:56 AM, Blogger te12 said...

qzz0727
nike outlet
cheap jordans
fitflops sale clearance
gentle monster sunglasses
golden state warriors jerseys
jordan shoes
coach outlet
polo ralph lauren
kings jerseys
spurs jerseys

 

Post a Comment

<< Home