the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Saturday, April 22, 2006

สงกรานต์ที่ผ่านไป..วันพบญาติ

(ห่ะ..รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นมาเชียว)

หลายปีมาแล้วที่ผมไม่ได้อยู่บ้านช่วงสงกรานต์
ส่วนมากกลับไปก่อน หรือกลับไปหลังจากนั้น แถมบางทีก็ไม่ได้กลับเลย
ปีนี้ต่างออกไป เพราะตั้งใจกลับไปอยู่บ้านตั้งแต่ต้นเดือนเพื่อเลือกตั้ง
และไปอยู่กับพ่อและแม่บ้าง นับวันพวกท่านยิ่งแก่ไปทุกที
พ่อขึ้นนอนหัวค่ำเช่นเคย และแม่หลับให้โทรทัศน์อาบแสงทุกคืน
จนเวลาข้ามคืนจึงตื่น และเข้านอน...

พอดีสงกรานต์ปีนี้ แม่บอกว่าญาติฝั่งป้ารัชนีจะมาด้วย ความทรงจำล่าสุดของ
การพบป้ารัชนีมันเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครั้งป้ายังทำงานอยู่ที่พิษณุโลก
แต่ นั่นคือหลายปีก่อนที่ป้าจะเอิร์ลลี่ รีไทร์แล้วเดินทางไปอยู่เพชรบุรี
ลูกของป้ารัชนีมีสี่คนคือ พี่เกี๊ยก พี่วา พี่เหม่ง พี่แซ
ความทรงจำเกี่ยวกับพี่วาของผมสูญหาย แต่พี่เหม่งนั้นติดแน่น
ตอนเด็กๆ ตื่นตะลึงกับเส้นสายที่เกิดจากปลายดินสอของพี่เหม่ง
อาการตื่นตะลึงนั้นพัฒนามาเป็นการชอบวาดและขีดเขียนขึ้นในชีวิต

วันที่สิบสี่ ผมเดินทางไปหวั่นโลก (สวรรคโลก ชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัด
สุโขทัย) สถานที่พบปะในเครือญาติ ที่ปีนี้เดินทางมาจากทั้งเพชรบุรี
กรุงเทพฯ และอุตรดิตถ์ ครอบครัวผมไปถึงเป็นคณะแรก
การพบกับลุงป้าและพี่เจ้าของบ้านจึงไม่แปลกหน้านัก
ญาติเกือบทุกคนทักผมด้วยคำพูดคล้ายคลึงกัน ว่าหากไปพบ
กันข้างนอกจะจำไม่ได้เลย และจะไม่ทักด้วย ไม่เว้นแม้แต่พี่วา
ภาพเด็กน้อยน่ารัก ในความทรงจำของพวกเขาคงเลือนราง
และถูกทำลายโดยพลัน
(ไอ้ยักษ์บ่ะลักขักนี่มัน ใครว่ะ?)

มีเพียงแต่ป้ารัชนีเท่านั้นที่เข้ามาทักผมด้วยประโยคว่า
“จำได้ไหม ตอนเด็กแม่จะใส่ถุงเท้าให้เราไป
โรงเรียน แล้วป้าบอกว่าไม่ให้ใส่ ให้เราใส่เองน่ะ”

ให้ตายสิ! ภาพนั้นมันย้อนปรากฏชัดขึ้นมาทันที
ผมยังคงเป็นภาพปรากฏชัดเช่นนั้นในความทรงจำของป้ารัชนี
ไม่ว่าผมจะโตขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อยก็ตาม
ผมมีชีวิตอยู่ในความทรงจำเช่นนั้นของป้าเสมอมา

ขณะเดียวกันเมื่อครอบครัวของพวกน้าๆ เดินทางมาถึง
ผมมองเห็นภาพสะท้อนชีวิตของน้องๆ ในความทรงจำของผม
พวกน้องๆ ที่เคยติดผมแจสมัยเด็ก ตอนนี้มันหันไปติดทหารแทน
ร่างกายสูงใหญ่จากการฝึก และดำรงสถานะเป็นพ่อของเด็กที่เพิ่งเกิดอีกคน
(เฮ้ย! มีครอบครัวไปแล้วเรอะ) ส่วนพวกเด็กๆ ที่เคยโวยวาย วิ่งเล่นทั่วบ้าน
ตอนนี้ทั้งสามพระหน่อ โตจนเรียนอยู่ชั้น ม.ห้า ม.หก กันหมดแล้ว
สิ่งที่พวกน้องๆ ทำกันไม่ใช่การวิ่งเล่น และเรียกร้องออกไปเล่นน้ำอีกแล้ว
แต่เป็นการอวดกันว่าใครจะดื่มได้มากกว่ากัน
วันวัยมันเปลี่ยนผ่านแล้ว
น้องคนหนึ่งพูดและมองผมด้วยสายตาเหยียดว่า
ทำไมถึงกินน้ำส้ม ไม่เก๋าเจ้ง! เอ๊ย ไม่เก๋า ไม่เจ๋งเลย
พวกน้องๆ กินเบียร์ด้วยกันประมาณห้าหกขวด
ก่อนจะมีน้องคนหนึ่งผู้จากไป
แล้วกลายเป็นจุดอ่อนให้เรียกขาน-ประณามต่อไป
คล้ายผมมองเห็นตัวเองในวัยขนาดนั้น
อยากจะเอ่ยบอกน้องคนมักที่พูดจากข่มคนอื่น
แต่ภาพตัวเองในวัยเท่านั้นกลัดปากผมสนิท

ผมเคยเป็นเช่นนั้นใช่ไหมนะ? หรือว่าไม่เคยกันแน่
ที่เชื่อว่าการกระทำบางอย่างในช่วงวัยหนึ่ง
คือ ความเท่ห์ เก๋ และช่างเป็นลูกผู้ชายเหลือเกิน
สุดท้ายผมก็ไม่ได้กล่าวกระไร โลกคงหมุนไปอย่างเดิม
น้องๆ จะเรียนรู้ได้เองว่าควรใช้ชีวิตเช่นไร
และส่วนหนึ่งเพราะผมไม่เคยมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิด
และทำนั้นมันถูกหรือดีงามกว่าวิถีชีวิตอย่างอื่น
(คิดว่าพยายามทำตัวเช่นนั้นนะ)
เส้นทางอื่นๆ อาจจะกระจ่างชัดกว่าที่ผมเลือกมาแล้วก็ได้

ผมใช้เวลาในงานพูดคุย ดื่มเหล้ากับรุ่นพี่ที่อายุแก่กว่าผมมาก
คนที่สมัยเด็กผมไม่เคยกล้าคุยกับเขา
และพูดคุยกับป้ารัชนี รับฟังธรรมะในด้านที่ป้าสอน
ก่อนที่จะใช้เวลาตอนเย็น ขับรถออกพาน้องๆ หลานๆไปเล่นน้ำ
อย่างที่เด็กถวิลหา เมื่อนึกถึงวันสงกรานต์ขึ้นมาได้

สงกรานต์ปีนี้เป็นสงกรานต์อีกปีที่ผมดีใจที่ได้มาร่วม
ด้านหนึ่งเพราะได้พบญาติที่ห่างหายจากกันไปนาน
ด้านหนึ่งได้พบตัวเองในความทรงจำ และมองเห็นกระจ่างขึ้น
ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่า
ห่ะ..ตัวเองแก่ขึ้นมาเชียว


ปล. หนึ่ง วันนั้นในกระเป๋าผมพก วิมานมายา ของ คาวาบาตะ
เดินทางไปด้วย แต่แทบไม่มีโอกาสเปิดออกเลย
อาจเพราะความแก่เฒ่าสนทนาผ่านความรู้สึกของผมแล้ว
หลังจากรับรู้ความรู้สึกของผู้เฒ่าเองุชิ ผมก็ถามตัวเองว่า
เมื่อตอนอายุหกสิบผมจะเป็นเช่นไรนะ?

ปล. สอง อีกเรื่องหนึ่งจากสงกรานต์ในปีนี้ คือ ความรู้สึกหวิวๆ ในใจ
เมื่อได้พบหน้าแฟนเก่าสมัยม.ปลาย ซึ่งก็เพียงเห็นเธอจากในรถ
แถมเธอไม่เห็นผมอีกต่างหาก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม...
กระเป๋าสตางค์ของผมยังมีรูปของเธอจนเมื่อสองปีก่อน
ครั้งเมื่อพบหน้ากันล่าสุด ผมยังหยิบออกให้เธอดู
ใจมันหวิวๆ ที่เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นอีก


(ปัจจุบันลูกของเธออายุสองขวบแล้วล่ะครับ)

2 Comments:

At 12:27 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

ฮือๆ (นอกเรื่อง)
ฮาลุ กับอากิจบแล้วอ่ะ

แต่ก็เป็นแค่แปร๊บๆ แล้วเดินหนี
เข้าถ้ำเช่นเคยน่ะผม

สำหรับอัลบั้มของพี่ ผมเชื่อครับ ^^

 
At 9:24 AM, Blogger eek said...

ทำไมภาพความทรงจำมันถึงไม่มีสีนะ

บางทีอดีตก็คงเหมือนกับความฝัน
มันไม่มีสี
เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
และไม่มีทางจะย้อนกลับมาได้อีก
เหมือนความฝัน
ไม่มีวันเป็นจริง

 

Post a Comment

<< Home