the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Friday, April 21, 2006

โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตกระจัดกระจาย


ผมรีบเขียนประโยคข้างต้นในสมุดบันทึก
ขณะดูหนังแผ่นเรื่อง Butterfly ดอกไม้ ราตรี ผีเสื้อ

ได้กลางเรื่อง หนังเกี่ยวกับความรักของหญิงรักหญิง
ที่พาดทับกับเหตุการณ์ทางการเมืองของจีน
(จัตุรัสเทียนอันเหมิน) นักศึกษาในช่วงเวลานั้น

เดินหน้าเข้าต่อสู้กับสิ่งตนเองคิดว่าถูก
การให้ความหมายถูกผิดของสังคมบางประการ

บีบชีวิตของคนๆ ให้เรียวเล็ก
และจับเหวี่ยงเสียกระจัดกระจาย

ดูถึงกลางเรื่อง ผนวกกับการอ่านคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ
จบหมาดๆ เรื่องราวในหัวขมวดปม ขยายตัว

สะบัดเหมือนสายยางเปิดน้ำแรงสุด
แต่ปราศจากคนถือที่ปลายด้านที่น้ำไหลพุ่ง

ทิศทางไร้ทิศทาง
...โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตกระจัดกระจาย...

จริงๆ เสียแล้ว

ผมเริ่มอ่านงานของมูราคามิด้วย เรื่องบังเอิญจากวัยเยาว์
ขณะเข้าไปเดินในร้านหนังสือมือสอง

ภาพวาดในล้อมกรอบของปกสีขาว
กลัดไว้ด้วยวลีกระตุกใจ “สดับลมขับขาน”

หยิบพลิกไปมาสองสามหน
แต่ชื่อของนพดล เวชสวัสดิ์

ต่างหากที่เป็นเรื่องบังเอิญจากวัยเยาว์
ชื่อนี้กลัดในความทรงจำจาก

เรื่องแปลในชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ และรู้รอบตัว
นิยายวิทยาศาสตร์ นิยายชุดนักสืบ

เรื่องราวกระตุ้นขมองไม่นอนนิ่ง
เรื่องราวขวดเบียร์เกลื่อนพื้นบาร์ มุสิก

และเส้นด้ายไม่ได้สางเก็บในใจด้าย
นับจากนั้นนพดลและมูราคามิมาเยือนทุกฤดู

และทิ้งปมด้ายไร้หัวท้ายไว้เสมอ

ผมใช้ช่วงเวลาหลังจากอ่านเทวากับซาตานจบไม่นาน
ฝังสายตากับหน้ากระดาษของคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ

อ่านแล้วรู้สึกว่าเหมือน ดูหนังที่ตัดภาพอย่างรวดเร็ว
เปลี่ยนมุมกล้องฉับพลัน
จนภาพบนจอเกิดเส้นวิ่งจำนวนมหาศาล อ่านและอ่าน
ฝังหน้าอยู่กับตัวหนังสืออยู่สองสามวัน คำสาปปมอีดิสปุส
ฆ่าพ่อ ร่วมรักกับพี่สาวและแม่ วัตถุบินปริศนา
โอชิมะบุรุษสาวที่ถูกโจมตีด้วยข้อหาเอาเปรียบสตรี
ป่าพิศวงทางเดินที่ไม่อาจย้อนกลับ ชายชราสนทนากับแมว
โฮชิโนะ ชีวิตที่เลื่อนไหลและดำเนินต่อไป...
ประโยคแต่ละประโยคเหมือนเรียงเป็นเรื่องราว
และแยกกันเจริญเติบโตในหัวอย่างเสรี
หากเป็นหนังดูจบมีคนเดินมาถามว่าหนังเล่าเรื่องอะไร
คิดว่าสามารถเล่าลำดับเหตุการณ์ได้ครบถ้วนว่าอะไรเกิดก่อนหลัง
แต่ไม่อาจบอกได้ว่าจะเล่าว่าหนังเรื่องนี้บอกอะไร รู้เพียงว่า ชอบ

หลังอ่านจบหมาดๆ อย่างไม่เจียมตัว
ไม่ปล่อยให้สมองกรองตะกอนขุ่นข้นที่ลอยวนหนา
กลับหยิบหนังจีนเรื่อง Butterfly ดอกไม้ ราตรี ผีเสื้อ

มาสอดทับลงไปอีก จนดูไปได้ครึ่งเรื่อง
ต้องหยิบสมุดบันทึกมาเขียนว่า
"โลกเหวี่ยงสะบัด ชีวิตผมกระจัดกระจาย
ไอ้บ้าที่ไหน – เหวี่ยงโลกว่ะ!"


การกลับไปอยู่บ้านที่ตัดขาดจากความเป็นไปโดยปกติ
(เผอิญผมตัดสินใจปิดบริการมือถือที่เคยใช้ช่วงนั้นพอดี)

ไม่มีเสียงจากโลกภายนอกเดินทางไปถึง
ไม่มีการนั่งมองโทรศัพท์รอการกรีดร้อง
ทุกวันเริ่มด้วยจูงจักรยานออกสู่โลกแปลกหน้าที่เคยคุ้น
โชคดีบางประการเดินมาถึง เมื่อหยิบหนังสือที่เคยปฎิเสธ

เมื่อแรกเห็นชื่อเรื่อง อย่าง “แสงแดด-สายลม”
ของ วิลาศ มณีวัต ในคำนำผู้เขียนแนะนำให้
อ่านข้อเขียนเพียงวันละบท หรือไม่เกินสองบทเท่านั้น
ช่วงเวลามีค่าต่อการกลืนกินสิ่งเสพ

ผมมาคิดได้ทีหลังว่าด้วยวิธีการ
ในการรอคอยเพื่อเสพสิ่งสุขในหนังสือเล่มนี้

ทำให้ผมยอมปั่นจักรยาน ฝ่าอากาศร้อนใกล้เที่ยง
ไปนั่งใต้พัดลมเสียงดังในห้องสมุดประชาชนทุกวัน
คล้ายว่าโลกกลับหมุนอย่างเคยหมุน และต่างดำเนินไป

ผมไม่รู้บทสรุปของการเขียนในครั้งนี้

ทุกอย่างเป็นเพียงประสบการณ์
การอ่านและความรู้สึกถูกเหวี่ยงคว้างในโลกสองมิติ

ในการกลับบ้านยาวนาน
เกือบยี่สิบวันที่ผ่านมาได้ทิ้งเรื่องราว
ที่ผมอยากเขียนถึงอีก คงเป็นคราวหน้า
หากประสบการณ์สงกรานต์ที่ผ่านมา

ไม่เลือนหายไปเสียก่อน

ปล. เคยเป็นไหมที่อยู่ๆ ประโยคใดประโยคหนึ่งผุดซ้ำในหัว
ช่วงนี้ “โลกหมุนไปอย่างเดิม” ตามหลอกหลอนผมเหลือเกิน ^^

(บันทึกในขณะที่น้ำมันจะลิตรละสามสิบแล้ว...
...ปั่นจักรยานกันเถอะเรา)

0 Comments:

Post a Comment

<< Home