the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Sunday, July 09, 2006

เสียงรถไฟในหัวผม

ผมไม่ได้ป่วยไข้ในวันเวลานี้
อ่า...เท่าที่เข้าใจนะครับ
หวังว่าคงใช่ ^^

ผมหมายถึงความป่วยไข้ทางสุขภาพทางร่างกาย
เพราะความป่วยไข้ภายในนั้นใครจะหลีกหนีพ้นไปได้กัน
ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐแท้แน่นอน
การเรียนรู้จากช่วงชีวิตที่ผ่านมาบอกกล่าวผม

แต่ในวันเวลาที่มิได้ป่วยไข้เช่นนี้กลับทำให้นึกถึง
ประสบการณ์ในวัยเด็ก...
เด็กๆ จะหลีกหนีจากความป่วยไข้ได้อย่างไร
ไข้หวัดเป็นมิตรที่สนิทสนมที่สุดของทุกคน
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกทุกครั้งที่ป่วยไข้วัยเด็กมาเยือน คือ
เสียงรถไฟวิ่งในหัว ไม่รู้คนอื่นจะเป็นกันบ้างไหม มันเหมือนกับว่า
ผมมีสัญญาณบางอย่างบ่งบอกก่อนว่า เวลาของการป่วยไข้มาเยือนแล้ว
คือ เมื่อนอนเอนตัวแล้ว เสียงรถไฟวิ่งกังวานไปทั่วหัวกบาล
แถมโลกเหมือนกับว่า เดินช้าลง ตัวร้อนรุมๆ
สรรพเสียงต่างๆ รอบตัวดังก้องอยู่ในหัว ยิ่งข่มตาหลับ กดเปลือกตาเท่าไหร่
เสียงเหล่านั้นยิ่งแทรกเข้าไปสู่โลกภายในของผมทุกที
ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เสียงเหล่านั้นมาเยือน
รู้สึกว่าจะกลายเป็นสิ่งใดก็ไม่รู้ ผมจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรุนแรงมาก
เต้นดังไปทั่วหัว ผมกลัวในคืนวันเช่นนั้น
ไม่แน่ใจว่า มันคืออาการกลัวตายหรือไม่
รู้เพียงแต่กลัว และรู้สึกไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป...

ทุกครั้งที่เสียงแบบนั้นมาเยือน ผมจะรู้ตัวทันทีว่า
ความป่วยไข้ที่มากกว่าไข้หวัดธรรมดามาเยือนแล้ว

อาการอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น เกิดกับวัยเยาว์ของผม
นานจนอายุเท่าไหร่ - ไม่รู้
ผมไม่ได้สังเกตว่า สัญญาณบ่งบอกพิเศษนี้จากผมไปเมื่อไหร่
เพราะแม้จะป่วยไข้มากแค่ไหนในวันที่ข้ามเส้นแบ่งล่องหนนั้นมา
ผมก็ไม่เคยรู้สึกถึงสัญญาณเช่นนั้นอีกเลย

คิดในวันนี้ เรื่องเล่านี้...
อาจจะเป็นสัญญาณละเอียดอ่อนของเด็กที่เพิ่งรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา
บางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยความเข้าใจวัยเยาว์
หรือไม่งั้น สัมผัสพิเศษบางประการนั้นก็จากผมไปแล้ว

ความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บป่วยวัยเยาว์ของผมยังบรรจุไว้ด้วยอีกเรื่อง
คือ อาการท้องเสียที่ทำเอาผมต้องไปนอนโรงพยาบาล
ในวันเช่นนั้น ผมจำไม่ได้ซะแล้วว่ามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน
แต่การต้องไปนอนโรงพยาบาล
สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่แข็งแรงแบบผม น่าจะมากพอสมควร
ผมกลับจำไม่ได้ถึงอาการเจ็บไข้ครั้งนั้น
สิ่งที่ติดอยู่ภายในกลับ คือ ภาพของพ่อแม่ที่พาซ้อนรถเครื่อง(มอเตอร์ไซด์)
ผ่านโค้งถนน ภาพในความทรงจำเป็นสีส้มซีเปีย
ถนนเส้นนั้นปัจจุบันนี้ปราศจากทุ่งดอกหญ้า กลับแทนที่ด้วยตึกอาคารจำนวนมาก
โรงพยาบาลมีโรงอาหารที่ยังเหมือนตลาดเล็กๆ ไม่ใช่ลักษณะมินิมาร์ท
ขนมห่อใบตองยังมีขาย ร้านของเล่นคือสวรรค์ เพราะผมมักหนีออกมาวิ่งเล่นบริเวณนั้น

ผมชอบของเล่นชนิดหนึ่ง ที่ทุกวันนี้ยังตามหา แต่ไม่เคยพบอีก
คือ ของเล่นรูปโทรทัศน์ที่ข้างหลังมีช่องสำหรับมองเข้าไปภายใน
เมื่อกดปุ่มจากด้านล่างของโทรทัศน์ภาพที่เหมือนฟิล์มภาพยนตร์ภายใน
จะหมุนเคลื่อนไปที่ละครั้ง อาจจะมีสักประมาณ7-8 ภาพ
ผมก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก ที่จริงก็เป็นเพียงภาพของการ์ตูนวอล ดิสนีย์
สีของภาพยนตร์เก่าๆ เช่นนั้น จับใจของผมมาตลอด
มีความสุขกับของเล่นชนิดนี้มาก มันเหมือนโลกภายในนั้นมีเราอยู่ด้วย
จนวันหนึ่งที่แกะมันออกดูข้างใน ได้รู้ว่ามีองค์ประกอบใดบ้างเท่านั้น
แล้วจากไปผม ไม่กลับมาอีก...

เฮ้อ..คุยเรื่องของเล่นเสียยาว วันหลังจะมาเขียนเรื่องนี้อีกดีกว่าครับ

ป.ล.
ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อจะบันทึกถึงเสียงรถไฟในหัว
เสียงที่จากผมไปนานแสนนาน ไม่มีโอกาสรู้ว่ามันจะกลับมาอีกไหม
ทั้งที่ วัยเด็กกลัวเสียงเหล่านั้นเหลือเกิน แต่วันนี้กลับคิดถึงขึ้นมา
แปลกคนจริง... ฮ่าๆ

13 Comments:

At 2:01 AM, Anonymous Anonymous said...

ยีน,

เมื่อวาน พี่จ๋อยไปเจอแผ่นพับบ้านกระดาษในงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ เลยซื้อมาซะหลายอัน สมัยเด็กเด็กชอบมาก โตขึ้นมาก็ไม่เคยเห็นอีกเลย จนเมื่อวานนั่นแหละ ไปยืนเบียดเบียดแย่งเด็กซื้อซะงั้น...

ป.ล.1 เสียงรถไฟในหัวนั่น อืม แปลกดีนะ นึกไม่ออกแฮะ เวลาพี่จ๋อยเป็นไข้ตอนเด็กนั่น จำได้เพียงว่าในวันเวลาอย่างนั้น บรรยากาศรอบข้างมันจะดูเป็นสีแดงแดงร้อนผ่าว แม่จะพาเดินไปหาหมอที่คลินิกใกล้บ้าน และหมอก็จะทักขึ้นว่า "เด็กหญิงคีรีบูน มาอีกแล้วเหรอจ๊ะ"

ส่วนขากลับ เราก็จะแวะตลาดซื้อโจ๊ก กับน้ำส้มคั้นใส่ถุงกลับไปกินที่บ้าน...(เออ ความทรงจำวันเก่าเก่าของพี่จ๋อยก็มีเรื่องของกินแวบเข้ามาอีกแล้วอ่ะยีน โฮะ!!!)

ป.ล.2 อ้อ ยังไงซะก็ดูแลรักษาสุขภาพดีดีด้วยนะ อยู่ไกลบ้าน ไกลพ่อ-แม่ อย่างนี้ เวลาป่วยไข้ขึ้นมาที มันยิ่งเหงาจับจิตจับใจเลยล่ะ

 
At 10:56 AM, Anonymous Anonymous said...

อืม ลุงหนวดเป็นหวัดเหรอ รักษาสุขภาพด้วย

เวลาฉันไม่สบายมากๆ สะลึมสะลือด้วยพิษไข้
ฉันชอบรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมาอยู่ใกล้ๆ
มานึกดูตอนฉันเป็นคนโตๆ
รู้สึกว่าฉันนี่มันกิ๊บเก๋ มีเพื่อนในจินตนาการเหมือนในหนังฝรั่ง

จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เพื่อนในจินตนาการมาเยือน
ฉันเป็นนักศึกษาชั้นปีสี่ที่ไปฝึกงานโรงพยาบาลเฉพาะทางที่กรุงเทพ
แล้วฉันก็ป่วย เป็นไข้หนาวสั่นมากๆ โทรไปบอกที่ฉันฝึกงานว่าไปไม่ไหว
แล้วนอนป่วยอยู่ในห้องพัก
โดยเพื่อนๆที่ต้องไปฝึกงาน หาของกินไว้ให้และหมั่นกันพลัดโทรมาหาทั้งวัน
ในวูบหนึ่งฉันคิดว่า หรือฉันจะตาย
และในคาบคราวที่กำลังอยู่ระหว่างความหลับและความตื่น
ฉันก็รู้สึกเหมือนเพื่อนในจินตนาการมาเยี่ยมอีกครั้ง
ฉันบอกไม่ถูกว่าเขาหน้าตายังไงหรือพูดอะไรกับฉัน

แค่รู้สึกว่า "ฉันจะไม่เป็นไร"

เมื่อมีไข้ ร่างกายเราจะต้องการน้ำสะอาดในปริมาณเยอะๆ
ดื่มน้ำเยอะๆ พักมากๆ หากร่างกายต้องการยาปฎิชีวนะก็ต้องกินติดต่อกันหมด

 
At 11:31 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย,
นึกหน้าตาแผ่นพับบ้านกระดาษไม่ออกอ่ะครับ คิดว่าคงเคยเห็นน่ะครับ แต่จำไม่ได้แว้วววว
วันหลังต้องไปแย่งเล่นหน่อยแล้ว ^^

เวลาป่วยของพี่เห็นโลกเป็นสีแดงรอบผ่าวๆ เหรอ แหม ถ้าสีอ่อนลงอีกนิด ผมจะนึกว่าพี่อินเลิฟแต่ยังเยาว์เลยนะเนี่ย อ่อ แสดงว่าพี่จ๋อยไม่สบายบ่อยสิเนี่ย หมอจำได้เลย (ส่วนไอ้เรื่องของกิน่ะ ผมก็คิดถึงขนมครกอีกแล้วที่โรงพยาบาลอ่ะ ฮ่าๆๆ)

น้า,
ไม่ได้ป่วยทางสุขภาพร่างกายครับ
อืมๆ... ผมมีเพื่อนคนใต้คนนึง เขาก็ว่าเขามีเพื่อนเล่นในจินตนาการ แต่เพื่อนเขาจะมาเสมอไม่เฉพาะตอนไม่สบายเท่านั้น
แต่เพื่อนของน้านี่แปลกดีเชียว ยังมาหาอยู่เลย อืมคิดแบบงามๆ ก็ต้องว่าเป็นเทวดาประจำตัว แต่คิดอีกทีเขาเป็นยมฑูตที่ไม่รู้งาน มาผิดเวลาตลอดเลยสิ ^^ฮ่าๆ

ป.ล.พี่จ๋อยกับน้าอ่ะ--
ผมไม่ได้ไม่สบาย เพียงแต่เขียนนึกถึงเรื่องไม่สบายในสมัยยังเด็กครับ แง้ๆๆ ความสามารถทางการเขียนสื่อความของผมตกต่ำเสียแล้วสิเนี่ย ฮือๆ แย่จริง T-T
แต่ก็ขอบคุณความห่วงใยนะครับ ^^

 
At 4:36 PM, Anonymous Anonymous said...

เสียงรถไฟในหัวเวลาไม่สบาย อืม... แปลกดีจัง ^^

จะว่าไปตอนเด็กๆ เวลาไม่สบาย ผมไม่ชอบความรู้สึกอย่างหนึ่งมากคือ มันอ้างว้าง

ขนาดมีแม่คอยเช็ดตัวอยู่ใกล้ๆ แต่รู้สึกว่าแม่อยู่ไกลจัง ข้างในมันเบาๆ โหวงเหวงพิลึก 555

ปล. ของเล่นที่คุณยีนพูดถึง ผมก็เคยมีครับ ^^

 
At 10:01 PM, Anonymous Anonymous said...

ยีน,

ไม่นะ พี่จ๋อยไม่ได้เข้าใจผิดว่ายีนป่วยซะหน่อย แค่เตือนเอาไว้เฉยเฉยว่า อยู่ตัวคนเดียวก็ดูแลตัวเองดีดี พี่จ๋อยว่าการไม่สบายแล้วต้องอยู่เพียงลำพังนั่นเป็นความทุกข์ทรมานอย่างนึงเลยแหละ

อ้อ และถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีอีพี่บอลมาอยู่เป็นเพื่อน แต่รายนั้นน่ะจะไปช่วยอะไรได้ ช่วงนี้ก็ป่วยจนงอมไปทั้งกายและใจเหมือนกันนี่

เอาเป็นว่าการเขียน และการสื่อสารของยีนไม่ได้บกพร่องแต่ประการใดเลยจ้า

 
At 2:07 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

ไม่เคยป่วยไข้ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลซักที
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ตอนเรียนอยู่ปี 4 อยู่บ้านกะพี่ๆน้องๆชมรม
เป็นำข้ขึ้นสูงจัก จนเกิดนึกถึงความตายขึ้นมา
เกิดกลัวว่าตัวเองจะตายไป โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรๆ หลายๆอย่าง
ตลกดี

^^

 
At 3:18 PM, Anonymous Anonymous said...

กล้องส่องทางใกล้(ที่มีรูปวิวอยู่ข้างใน)ของยีนน่ะ มีอยู่ในหนังเรื่อง Noi Albinoi ด้วยนะ

ว่าแต่ไม่เป็นไรแน่เหรอ
อยู่ดีๆ ก็มานั่งนึกถึงความป่วยไข้?

 
At 9:02 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

คุณขาม--
โห เราต่างมีความรู้สึกต่อการป่วยไข้
ในวัยเยาว์ต่างๆ กันไปแฮะ
รู้สึกเบาๆ โหวงเหวง ความป่วยไข้คงนำคุณขาม
เดินข้ามไปแดนไร้หนักพร้อมกันการเดินในโลก ^^
ของเล่นแบบนั้น มีเพื่อนคนนึง (ที่เชียงใหม่)
บอกว่าหาให้ได้แล้ว จะส่งมาให้ จากวันที่มันบอกจนวันนี้ร่วมสามเดือนแล้วครับ เฮ้อ...ไม่ส่งมาสักที

พี่จ๋อย,
จ้า ^^ ขอบคุณครับพี่
เคยไม่สบายอยู่ห้องคนเดียว ก็ต้องอาศัยต้มน้ำร้อนไว้แล้วก็ลุกมากรอกใส่เหยือก นอนซมอยู่ในห้องทั้งวัน นอน นอน และนอนให้มาก อาบน้ำสายๆ ตื่นมาไอ้เอาเสลดออกตลอดเวลา แล้วก็ห่มผ้าหนาๆ ให้เหงื่อท่วม โดยเฉพาะหลายครั้งที่ป่วยไข้ไกลบ้าน ผมจะโทรบอกที่บ้านจนกว่าจนผ่านนพ้นไปได้ (ซึ่งก็คงเหมือนใครอีกหลายคน)แต่ผมเป็นคนไปหาหมอ ซื้อยากินะพี่ คงไม่หนักหนามากนักหรอกครับ ^^
ส่วนพี่บอลนั้น...อืม..ยังป่วยอยู่ไหมน้า?
เย้ๆๆๆ ^^ ดีใจ

น้องอุ๋ย--
แข็งแรงจังอ่ะน้อง
อืม แต่ไอ้กลัวตายน่ะใครก็เป็น
ดีแล้วจ้า จะได้รู้ค่าชีวิต

บูมเหวย--
เอ่ย ชื่อหนังไม่รู้จักมาอีกแล้ว
เอามาให้ยืม ซะดีๆ ^^
แล้ว ข้าพเจ้า ยังสบายดีๆๆๆๆ
เอ่อ... คิดว่านะ ^^

 
At 10:06 AM, Blogger eek said...

เราไม่เคยป่วยจนต้องไปนอนโรงพยาบาลเหมือนกันแหะ แต่มีเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องเข้าไป แล้วจะเล่าให้ฟัง...

เราคิดมาตลอดตั้งแต่เด็กเหมือนกันนะ ว่ามันเหมือนไม่ใช่ตัวเรา ไอ่คนที่ป่วยอยู่ มันเป็นอะไรสักอย่างมาสิงร่างเราไว้ มันไม่ใช่เรา

อืม ยีน เขียนเรื่องหวัดได้น่ากลัวพอกับคนเป็นโรคมะเร็ง ทั้งที่ดาราที่เป็นมะเร็งหลายคนออกมาแสดงกับสื่อว่า เป็นมะเร็งก็เหมือนเป็นหวัด
เฮ้อ แต่ถ้าไอ่โรคนี้มันเกิดกับคนจน มันก็คงเป็นโรคอะไรที่น่ากลัวไม่ต่างกับโรคเอดส์ล่ะเนาะ

 
At 10:07 AM, Blogger eek said...

ปล. เม้นท์ทู้นี้มีแต่ยาวๆ เราคิดในใจว่าจะไม่ตอบยาว แต่มันก็ยังยาวอยู่ดี ไรเนี้ยยยยย

ยาวววววววววววววววววววววววววววววววววว
ยาวววววววววววววววววววววววววววววววววว

 
At 12:08 PM, Anonymous Anonymous said...

ผมเคยแต่เป็นไข้แล้วมีเพลงวง Scorpions มาหลอนอยู่ในหัวครับ ยังนึกถึงอารมณ์นั้นมาจนถึงทุกวันนี้

 
At 9:04 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่บอล--
ก็เลยได้ป่วยเองจริงๆ ไปเลย
ผมน่ะ แต่จะพยายามหายในเร็ววัน
เช้านนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ

อิ๊ก--
เขาว่าคนบ้าไม่ป่วยไข้ อืม น่าจะจริง
บ้า..ใครจะไปสิงแกได้
ตอนนั้นแกออกจากร่างที่สิงต่างหาก ^^
อืม เห็นด้วย ถ้าให้ดีก็..
ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐยิ่งดีกว่า

ต้น--
บรึ๋ย!!!
น่ากลัวยิ่ง อาการเช่นที่ว่าน่ะ
นึกถึงตอนแบบนั้นแล้ว
ท่าจะป่วยหนักขึ้นนะต้น หลอนจริงๆ

 
At 10:29 AM, Blogger Unknown said...

www0716

gucci handbags
off white
longchamp handbags
longchamp outlet
jordan shoes
suicoke sandals
michael kors handbags
moncler outlet
futbol baratas
oakley sunglasses









 

Post a Comment

<< Home