the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, April 19, 2007

แวนโก๊ะ...

สี่ห้าปีก่อนหลังจากพ้นจากการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่เข้าไปฝังตัวนานเกือบหกปี
ผมตัดสินใจกลับบ้านเพื่อหยุดตัวเองไว้ รอห้วงเวลาของการเดินทางอีกครั้ง

ถึงแม้จะเป็นการกลับบ้าน
แต่ผมก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังที่เคยเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก
ไม่ได้อยู่บ้านที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วย
แต่เป็นบ้านตึกแถว...
มรดกจากยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ สมัยชาติชาย
ที่ทางบ้านยังต้องผ่อนมาจนทุกวันนี้
จำได้ว่าสมัยนั้นทุกคนต่างเชื่อกันว่าเศรษฐกิจจะบูม
เพราะมีโรงแรมขนาดใหญ่เปิดขึ้นบริเวณนั้น
ถนนสุโขทัย-เมืองเก่า จะฟู่ฟ่า
ตึกแถวจำนวนมากสร้างขึ้นเพื่อรับการนี้

หนึ่งในจำนวนหลายคูหา
ตกมาถึงครอบครัวผม ตึกแถวที่ปัจจุบันใช้เก็บหนังสือต่างๆ
และสมบัติบ้าจากการใช้ชีวิตระหกระเหินมานานครึ่งทศวรรษ

ผมเลือกปักหลักอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่บ้านอีกหลังก็อยู่ห่างไปไม่เกิน
สิบสองกิโลเมตร ผมเลือกอย่างเห็นแก่ตัวที่จะอยู่คนเดียว...
แล้วเดินทางกลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ด้วยรถมอเตอร์ไซค์
คันเดียวกับที่ขับตระเวณทั่วเชียงใหม่เมื่อกาลนั้น
หลายครั้ง เมื่อนึกย้อนไปก็รู้สึกผิดอยู่เสมอ
ผมเป็นคนที่ไม่อยู่ติดบ้านเกิดเลย
ในหลายครั้ง ผมบอกตัวเองว่า ผมเป็นคนไม่คิดถึงบ้านเมื่ออยู่ไกลบ้าน
แต่อยู่บ้านแล้วจะนึกถึงบ้านในความหมายของรูปลักษณ์จากความทรงจำ
และคิดถึงมัน

กระนั้น ช่วงวัยที่ปรารถนาแสวงหา ผมเลือกอยู่คนเดียว
อาจเพื่อเคี่ยวกรำตัวเองให้หนักขึ้น...
อาจเพื่อเท่านั้น...

หนังสือหลายเล่มในตู้หนังสือของบ้านนา
(บ้านตึกแถวตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านนา)
เป็นหนังสือที่ผมยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านแล้วแต่ยังไม่จบทั้งเล่ม
หนังสือที่ช่วงวัยเรียนคิดว่าซื้อมาก่อนเพื่อที่ต่อไปในชีวิตจะได้มีเวลา
นอนและอ่านมันมากขึ้น มากขึ้น....

ผมใช้ชีวิตในแต่ละวันที่บ้านนา
ด้วยการเริ่มต้นวันจากการตื่นแต่เช้า
เพื่ออกไปเดินๆ วิ่งๆ บนถนนสายบายพาสอ้อมไปตาก
ยามเช้าในช่วงเวลานั้น ฟ้ายังไม่สว่าง บางเช้าก็มีเพียงแสงน้ำเงินอมส้ม
ไฟถนนยังสาดแสงให้การข้ามถนนของผมปลอดภัย
อาจถือได้ว่าช่วงชีวิตช่วงนั้นคุณภาพชีวิตค่อนข้างดี
เพราะได้ตื่นแต่เช้า และได้ออกกำลังกาย

ผมเดินๆ วิ่งๆ ไปจนสุดถนนเป็นสามแยก จึงหันหน้ากลับ
เพื่ออาบน้ำ แล้วควบรถมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อข้าวเช้าที่ตลาดเมืองเก่า
กิจกรรมยามเช้าแล้วเสร็จมานั่งดูโทรทัศน์ทันดูข่าวตอนเช้าทุกวัน

สายๆ ก็เป็นช่วงเวลานั่งโต๊ะแล้วดูว่าวันนั้นมีอะไรทำบ้าง
ส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นผมจะนั่งเขียนจดหมายหรือโปสการ์ดหาใครต่อใคร
แล้วก็อ่านจดหมายที่ใครต่อใครเหล่านั้นส่งกลับมา
นอกเหนือจากนี้ก็คือ ดูว่าเมื่อคืนอ่านหนังสือเล่มไหนค้างอยู่บ้าง
เพื่อจะติดพันไปตลอดบ่าย...

หนังสือเล่มหนึ่งในช่วงเวลานั้น คือ ไฟชีวิต ของเออวิง สโตน
เรื่องราวชีวประวัติของศิลปินนามวินเซ็นต์ แวนโก๊ะ
(ผมออกเสียงถูกต้องไม่เป็นอ่ะ เรียกแบบถนัดปากแล้วกันนะครับ)
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนว่ามีพลังในชีวิตขึ้นมากเลย
หรือว่ามันจะเติมไฟให้ชีวิตก็ไม่รู้...

ชายที่เดินเท้าข้ามระยะทางเกินร้อยกิโลเมตรท่ามอากาศหนาวเหน็บ
ชายที่เข้าไปทำงานในเหมืองถ่านหิน ยามหายใจเข้าไปแล้วมีลูกไฟลูกใหญ่เข้าสู่อก
ชายที่เริ่มทำงานศิลปะเมื่ออายุมาก... ไม่มีพื้นฐานมากนัก
ชายที่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานบำบัดจิต และวาดภาพ วาดภาพ วาดภาพ
แม้นแดดจะระอุร้อนเพียงใด เหมือนคนบ้าที่ยืนหน้าผืนผ้าใบจนฟ้าสลดไป
โลกของอิมเพรสชั่นนิสต์ กับชายที่ไม่เคยมีสิ่งไหนประสบความสำเร็จเลย
ไม่ว่าความรัก การงาน หัวใจตลอดช่วงเวลาที่เขามีลมหายใจอยู่
มีเพียงแสงสว่างจากน้องชายของเขาเท่านั้น...

ชายที่ตายไปอย่างสิ้นหวัง แต่งานของเขากลับจรรโลงโลกไว้
เรื่องราวของชายคนนั้นได้เข้ามาเติมไฟชีวิตให้กับหนทางร้างไร้

และเหมือนมีเรื่องราวซ้อนเรื่องราว
ยามอยู่บ้านนา ส่วนใหญ่ผมจะปิดประตูเหล็กหน้าบ้าน
แล้วอาศัยอยู่หลังโลกสีชาของกรระจกที่กั้นเป็นห้อง
เมื่ออ่านงานเรื่องนี้แล้วทำให้ปรารถนารู้สึกถึงแสงแดด สายลมระอุ
ใบไม้ลู่ลมบ่าย ทำให้ผมเปิดประตูออกไปนั่งเล่นริมโอ่งน้ำหน้าบ้าน
แดดของเดือนเมษายนพามันเข้ามา

สุนัขตัวหนึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มต้นขี้เหล็ก
รูปร่างผ่ายผอม หอบหายใจสู้ความร้อน
ขนเหลืองออกส้มแดงไม่ทำให้ผมคิดอะไรในตอนแรก
แต่เมื่อมันลุกเดินเพื่อหลบรถที่วิ่งกินเข้ามาข้างถนน
ผมจึงระลึกถึงได้ว่าขนสีเหลืองออกส้มแดงนั้น
ทำให้ผมนึกถึงใคร...

มันลุกขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ
สองข้างหน้าพาตัวมันหยัดขึ้น โอนเอนเล็กน้อย
ก่อนที่สองขาหลังจะปรากฏกับสายตาของผม
ช่วงล่างตั้งแต่สะโพกของมันลงไปของมัน
ไม่สามารถใช้การได้ มันก้าวขาหน้าเพื่อนำพาร่างไป
เพียงเท่านั้น ผมก็ยืนยันกับตัวเองแล้วที่จะเรียกมันว่า
“แวนโก๊ะ”

ศิลปินเรืองนามชาวดัชต์คนนั้นกีมีผมสีแดง
แวนโก๊ะที่ท่อนล่างพิการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แถวหน้าบ้านผม
ผมพยายามเข้าใกล้แต่ เหมือนว่าแวนโก๊ะไม่ไว้ใจคนนัก
มันถอยหนีอย่างลำบาก ด้วยท่าทางเช่นนั้น
ทำให้ผมล้มเลิกที่จะเข้าใกล้มัน มีเพียงนำข้าวหรืออาหารมาทิ้งไว้
ให้มันใต้ต้นขี้เหล็กในบางวันเท่านั้น

หลังจากวันนั้น
ทุกวันผมจะมองหาแวนโก๊ะเสมอ
จำได้ว่าผมเขียนเรื่องราวของมันให้เพื่อนนักดนตรีที่อยู่เชียงใหม่
เรื่องราวของทั้งแวนโก๊ะในงานเขียนของเออวิง สโตน
และแวนโก๊ะ ผู้ไม่ยอมแพ้แห่งบ้านนา

เมื่อความหวังคลอนแคลน
หรือความฝันไม่มั่นคงเมื่อยืนอยู่ในโลกของความจริง
บางครั้ง... บางครั้งเท่านั้นแหละ
ผมจะย้อนคิดถึงแวนโก๊ะขึ้นมาได้
ซึ่งมันทำให้ผมมีเรี่ยวแรงมากขึ้นที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองศรัทธา
ผมไม่ได้กลับไปอยู่บ้านนามาหลายปีแล้ว
ป่านนี้ไม่รู้ว่าแวนโก๊ะพาเรื่องราวของมันไปสู่ที่ใดแล้ว
มีใครซับและทราบแรงดาลใจจากมันอีกไหม?
ผมไม่รู้...

มันอาจจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่มี
แต่มันก็มีชีวิตอยู่ในความระลึกถึงและเรื่องเล่านี้แล้ว

2 Comments:

At 12:01 PM, Anonymous Anonymous said...

เดี๋ยวมีเวลาจะเข้ามา ตั้งใจ อ่านนะ

ยาวจังคับ

 
At 1:05 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่แอง...

ครับพี่ ^^
บ่นไปเรื่อยอ่ะผม...

 

Post a Comment

<< Home