the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Monday, September 11, 2006

เราเดินอยู่ในโลกใบเดียวกัน?

ในเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาที่ผมต้องจบไปแล้ว
ก่อนที่จะเรียนจบ และจากเมืองเชียงใหม่มา...

เย็นวันหนึ่งผมอยู่ในห้องของเพื่อน นั่งกินขนมอยู่คนเดียวหน้าโทรทัศน์
(แฮ่ม! เสมือนห้องของตนเองเชียว)
แล้วภาพหน้าจอโทรทัศน์ก็ตัดเข้ารายงานข่าวที่ทำให้คิดถึงหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง
รายงานข่าวเรื่อง เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
ภาพในโทรทัศน์ฉายซ้ำวนไปมาหลายๆ รอบ
ก่อนที่จะได้เห็นเครื่องบินอีกลำพุ่งเข้าชนสดๆ ในวินาทีที่การถ่ายทอดยังดำเนินไปอยู่
ภาพที่ประสาทตารับเข้าสู่สมองถูกฉายควบคู่ไปกับภาพการดีใจของผู้คนในปากีสถาน
ยอมรับในวินาทีต่อหน้านั้นเลยว่า...
ผมมีสำนึกเรื่องความสะใจที่อเมริกาได้รับการตอบสนองต่อการรุกรานที่เกิดขึ้นทั่วโลก
แล้วแวบถัดมา คือ เช็ด! คนบนตึกและผู้คนที่รับเคราะห์เหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องเลยนี่หว่า
เอ..เราต่างรับผลของการกระทำในตัวมนุษย์
เผ่าพันธุ์เดียวกันของเรา-เผาผลาญกัน

ห้าปีจากนั้น...
สงครามต่อต้านความหวาดกลัวของกองทัพสหรัฐฯ
ก็อุบัติขึ้นบนแผ่นดินที่การฆ่าฟันยาวนานดำรงอยู่
ห้าปีที่ข่าวคราวจากอิรัก อาฟกานิสถาน อิหร่าน ซีเรีย
สะท้อนออกมาเพียงเป็นผู้ก่อการร้ายที่มุ่งหวังทำลาย
โดยไม่สนใจวิญญาณของผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายเท่านั้น ความเกลียดชังเท่านั้น
ราวกับผู้คนที่ไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับมหาอำนาจคือศัตรู คือผู้ไร้ซึ่งวิญญาณของมนุษย์
ทำลาย ทำลาย ฆ่า ฆ่า มีคนตายด้วยความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเป็นรายวัน

ห้าปีแล้วหรอกหรือ ผมถามตัวเองในเช้าวันนี้...
ความเกลียดชังในตัวมนุษย์ไม่ได้น้อยลงเลย
ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ยามเมื่อพบเรื่องราวไม่เข้าใจในชีวิต
เช่น รถเมล์ที่ขับทะยานขึ้นบนเกาะกลางถนน แข่งกันด้วยเสียงเครื่อง เสียงบีบแตร
เสียงด่าทอ ผู้คนที่ผรุสวาทออกมาเสียงดัง
การหยิบปืนขึ้นมาฆ่าฟันกัน การบริโภคผลประโยชน์
โดยบีบบังเอาจากคนอื่น การทดลองยารักษาในผู้ป่วยที่ไม่มีโอกาสเลือก
บ่อยครั้ง ในบ่อยครั้งนั้น ผมถามตัวเองว่า...
เราเดินอยู่ในโลกใบเดียวกัน, อยู่หรือ ?



ป.ล.
ผมไม่มีญาติหรือเพื่อนล้มตายจากเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ณ ตึกเวิร์ลด์เทรด
แต่ห้าปีจากนั้น มีคนที่รู้จักจากไป และอุบัติชีวิต ความรู้สึกใหม่ขึ้นมากมาย
ผู้คนล้มตายทุกวัน ธรรมชาติก็กลืนหายไปทุกวัน
ผมเองล่ะ....?

12 Comments:

At 4:51 PM, Anonymous Anonymous said...

ถึง, แอนนี่ ดิลลาร์ด

ขออนุญาตให้ผมเรียกคุณว่าแอนนี่ได้ไหมครับ ไม่ใช่ว่าผมอยากแสดงตัวว่าสนิทชิดเชื้อกับคุณหรอกนะครับ แต่ผมถือวิสาสะโดยพลการเรียกคุณว่าแอนนี่มาหลายปีแล้ว ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

แอนนี่ครับ ครั้งแรกที่ผมเคยอ่านงานเขียนของคุณ คงเป็นเมื่อสิบห้าสิบหกปีก่อน ฟังดูนานเหลือเกินเมื่อคิดถึงชีวิตมนุษย์ แต่คงเป็นเวลาสั้นนิดเดียวใช่ไหมครับ-หากเทียบกับอายุของโลกเหมือนอย่างที่คุณชอบเทียบ

นับแต่อ่านงานเขียนของคุณเรื่อง Pilgrim at Tinker Creek-เล่มที่ทำให้คุณได้รับรางวัลพูลิตเซอร์, ผมก็นับคุณไว้เป็นผู้หญิงในดวงใจคนหนึ่งเสมอมา

ผมชอบชื่อหนังสือของคุณมากนะครับ Pilgrim at Tinker Creek-นักแสวงบุญแห่งลำห้วยทิงเกอร์ มันฟังดูน่ารัก เล็กจ้อย ปกติแล้ว นักแสวงบุญมักต้องเดินทางไกลไปสู่ดินแดนลึกลับยิ่งใหญ่ แต่ลำห้วยทิงเกอร์ คือลำห้วยใกล้ๆบ้านของคุณ มันเป็นสายน้ำเล็กๆ แต่กลับให้ความรู้สึกสงบได้เช่นเดียวกับสถานที่แสวงบุญอันห่างไกลและยิ่งใหญ่

เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อแสวงบุญหรอก-คล้ายคุณพยายามบอกอย่างนั้น

ที่ผมชอบมากในหนังสือของคุณ ก็คือข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับธรรมชาติ ชีวิต ผู้คน สัตว์ และต้นไม้ ที่คุณสอดใส่เข้าไปในความเรียงเรียบง่ายของคุณ ทุกสิ่งล้วนมาจากประสบการณ์ และการสังเกตด้วยดวงตาอันพิถีพิถัน คุณมองทุกสิ่งอย่างรอบคอบ ตั้งแต่สายน้ำ สรรพสัตว์ และชีวิตเล็กๆ ไม่เว้นกระทั่งแบคทีเรียในพื้นดิน ถ้อยคำของคุณหลั่งไหลคล้ายมาจากสถานที่อื่นที่ผมไม่เคยรู้จัก มันมีพลัง ปลุกเร้าให้ลิงโลด ทว่าก็กล่อมใจให้สงบไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งที่ทั้งหมดในเล่ม ล้วนมีที่มาจากสถานที่เล็กๆริมลำห้วยเล็กๆ ที่แทบไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่โลก

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกคล้ายนั่งสมาธิ เหมือนหายใจเข้าก็พาความเริงร่ามาสู่ ครั้นหายใจออก คุณก็พาให้สงบผ่อนคลาย คล้ายขั้นต้นของอาณาปานสติอันล้ำลึก คุณพาเราเข้าไปรู้จักกับโลกแห่งลำห้วยทิงเกอร์ โลกที่มีทุกอย่าง ตลกดีนะครับ-ที่คุณเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น หลังคุณเกือบสูญเสียลมหายใจของตัวเองไปกับโรคนิวมอเนียแล้ว

ใช่หรือไม่ครับแอนนี่-ภาวะใกล้ตายทำให้คุณคิดถึงชีวิต และมองเห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง

แอนนี่ครับ ผมเขียนจดหมายมาถึงคุณ เพราะผมเพิ่งตระหนักว่า เราและโลกเอง ล้วนกำลังอยู่ในภาวะใกล้ตาย,

ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ-เรากำลังอยู่ในภาวะใกล้ความตายที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติเคยพบเห็นมา และนี่คือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

ในหนังสือ Pilgrim at Tinger Creek นั้น มีอยู่ตอนหนึ่ง คุณเขียนความเรียงที่มีชื่อว่า Flood หรือน้ำท่วม คุณเริ่มต้นง่ายๆโดยพูดถึงฤดูร้อนหนึ่ง ซึ่งจู่ๆฝนก็ตกหนักลงมา แรกทีเดียวเป็นฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ ทว่าฉับพลันทันใด มันก็ได้เปลี่ยนไปเป็นฝนแห่งฤดูร้อน ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ผมเชื่อคุณ

ฤดูได้เปลี่ยนไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน แล้วชีวิตของฉันจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยไหม นี่คือช่วงเวลาแห่งหนทางแก้ปัญหา การปฏิวัติ

แอนนี่ครับ, โลกทุกวันนี้กำลังเป็นอย่างที่คุณเขียนไว้ไม่มีผิด อีริก รีโนต์ แห่งนาซ่า ออกมาบอกเราว่า อยู่ๆการละลายของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีใคร หรือแบบจำลองสภาพอากาศใดๆทำนายเอาไว้มาก่อน

ฤดูกาลได้เปลี่ยนไปแล้วโดยฉับพลัน อาจเมื่อสองชั่วโมงก่อน สองปีก่อน หรือเมื่อสองทศวรรษที่แล้วก็ได้,

แต่ไม่มีใครรู้-ไม่มีใครตระหนัก เพราะไม่มีใครมีความรู้สึกอันว่องไวและแนบแน่นกับธรรมชาติเหมือนคุณ

แอนนี่ครับ ในปี 1996 น้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายหายไปในอัตราราวๆ 100 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี-ลูกบาศก์กิโลเมตรนะครับ ลองจินตนาการดูสิครับ ว่ามันมหาศาลแค่ไหน เป็นการ ‘เติม’ น้ำลงไปในมหาสมุทรของโลกมากมายเพียงใด

แต่นั่นยังไม่ใช่ข่าวร้ายที่สุดครับ-แอนนี่

เพราะสิบปีต่อมา คือในปี 2006 นี้ อีริคพบว่า น้ำแข็งของกรีนแลนด์เกิดละลายด้วยอัตราเร่งเพิ่มเป็นทวีคูณ นั่นก็คือละลายเร็วขึ้นมากถึงสองเท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาเลยในประวัติศาสตร์!

อีริคเปรียบเทียบง่ายๆให้เราเห็นว่า ในปี 1996 กรีนแลนด์ละลายกลายเป็นน้ำเป็นปริมาณมากถึง 90 เท่า ของน้ำที่ชาวเมืองลอสแองเจลิสใช้ในแต่ละปี ทว่าผ่านมาเพียง 10 ปี กรีนแลนด์ละลายกลายเป็นน้ำเพิ่มมากขึ้นถึง 225 เท่า ของน้ำปริมาณเดิมนั้น

คุณสงสัยเหมือนผมไหมครับ-แอนนี่, ว่าแล้วอีกสิบปีข้างหน้า กรีนแลนด์จะละลายกลายเป็นน้ำด้วยอัตราเร็วเพิ่มมากขึ้นถึงเพียงไหน

อีริคบอกว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่า อย่างน้อยอัตราการละลายของน้ำแข็งก็จะต้องเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า

และนั่นจะทำให้น้ำในโลกมีระดับสูงขึ้นถึงหกเมตร!

คุณทำอย่างไรหรือครับ แอนนี่-เมื่อน้ำในลำห้วยทิงเกอร์ขึ้นสูง และที่สุดก็ล้นตลิ่ง หลากไหลเข้าท่วมทุกสิ่งที่เคยแห้ง

คุณบอกผมได้ไหม ว่าเราควรทำอย่างไรกันดี?

สายน้ำกระแทกใต้สะพานคล้ายกำปั้น เป็นกำปั้นที่รัวพลังไม่มีหยุด มันกระแทกไปไกลเท่าที่สายตาของฉันจะมองเห็น กระทั่งไหลโค้งไปเติมหุบเขา สะบั้นทุกสิ่งให้เรียบ ผลักไส กระทบ กว้างขึ้นและเร็วขึ้น กระทั่งมันเติมเต็มสมองของฉัน

น่าแปลก ที่เมื่อสายน้ำเติมเต็มตลิ่งและสมองของคุณแล้ว คุณกลับสงบนิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ คุณเดินไปดูมันอยู่เงียบๆ ทั้งยังเล่าว่า น้ำลึกที่ปกคลุมผืนดินอยู่นั้นทำให้คุณได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่างเช่นต้นไม้บางต้นที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน จะว่าไป คุณมีทีท่ากึ่งชื่นชมหายนะครั้งนั้นเสียด้วย

คุณทำได้อย่างไรครับ-แอนนี่

คุณทำให้จิตของคุณเป็นปกติอยู่ได้อย่างไร-ไม่แฟบ ไม่ฟู ไม่หดหู่ และไม่ระรื่น

คล้ายคุณเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งธรรมชาติเข้าใจยากของสายน้ำ

ในวิถีทางหนึ่ง ลำห้วยแลดูเป็นตัวมันเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าในช่วงเวลาใด มันสาดซัด และชะทำลายสิ่งต่างๆลงมา

แอนนี่ครับ อีริคบอกเราว่า ถ้าหากกรีนแลนด์ละลายทั้งหมดเมื่อไหร่ น้ำในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลกจะเพิ่มระดับสูงขึ้นหกเมตร ผลของปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้นนั้น อย่าคิดเพียงว่าแค่น้ำสูงขึ้นจะมีปัญหาอะไรกันเล่า เราทำเขื่อนกั้นเสียเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง เพราะอันที่จริง หากปริมาณน้ำจืดในทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความเค็มของทะเลจะเปลี่ยน ทำให้สัตว์น้ำบางส่วนต้องสูญพันธุ์ หรืออพยพหนีไปจากถิ่นที่อยู่เดิม น้ำจืดที่เบากว่าน้ำเค็ม ก็จะไปขัดขวางการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่น ทำให้ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างยากที่จะคาดเดา อีกทั้งอัตราการระเหยที่เพิ่มสูงขึ้น ก็จะไปเร่งกระบวนการเกิดพายุทำลายล้างขนานใหญ่ตามที่ต่างๆทั่วโลก

แอนนี่ครับ ขณะนี้ กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ที่ไหลไปหล่อเลี้ยงยุโรปและอเมริกาตอนเหนือให้อบอุ่น กำลังไหลช้าลงแล้ว 30% นับจากปี 1992 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมาก ว่าสักวันหนึ่งกระแสน้ำอุ่นที่ว่านี้อาจหยุดไหล แล้วจากนั้น ผลที่ตามมาคงเลวร้ายสุดคาดคิด

แต่ผมรู้, คุณเชื่อว่า-ธรรมชาติย่อมมีวิธีเยียวยาตัวเองเสมอใช่ไหมครับ

ในความเรียงเกี่ยวกับน้ำท่วมของคุณ คุณเล่าถึงเรื่องราวหลังน้ำลดให้เราฟังหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ประทับใจผมไม่ลืม ก็คือเรื่องของครอบครัวบิงส์

ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวนักกิน ด้วยความที่พวกเขาอาศัยแนบชิดกับธรรมชาติ พวกเขาจึงชอบออกไปเก็บเห็ดนานาชนิดมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ ทว่าเมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำอันกรากเชี่ยวได้ทำลายบ้านของพวกเขาทั้งหลังจนพังทลาย ผืนดินชื้นเปียก ครอบครัวบิงส์ต้องสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ พวกเขาปลูกบ้านครอบลงไปบนพื้นดินเดิม และใช้ชีวิตต่อไปอย่างที่เคย

วันหนึ่ง มีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมครอบครัวบิงส์ เพื่อนบ้านคนนี้เดินเข้าไป และสวนทางกับศาสตราจารย์คนหนึ่งที่ถือหนังสือเล่มโตหนีบไว้ใต้แขน ครอบครัวบิงส์พาเพื่อนบ้านเข้าไปในครัว ก่อนจะเปิดเตาอบอย่างภาคภูมิใจ เพื่ออวด ‘เห็ด’ ขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พวกเขากำลังจะอบเห็ดนี้เพื่อเลี้ยงแขกในวันรุ่งขึ้น และศาสตราจารย์คนที่เห็นนั้น ก็มาตรวจสอบดูว่าเห็ดนี้เป็นเห็ดที่กินได้หรือไม่ ปรากฏว่ามันคือเห็ดที่กินได้จริงๆเสียด้วย เห็ดต้นที่ว่า ผุดขึ้นมาอย่างลึกลับและน่าอัศจรรย์เพียงชั่วข้ามคืน บนด้านหลังของโซฟาหรือเท้าแขนของอาร์มแชร์ผ้าตัวใดตัวหนึ่งซึ่งยังคงเปียกชื้นอยู่

ผมไม่รู้ว่าใครได้บทสรุปเรื่องนี้อย่างไรบ้าง แต่ผมชอบบทสรุปของคุณนะครับ-แอนนี่ คุณบอกว่า เห็ดที่เราเห็น คือประจักษ์พยานบอกเราว่า ที่แท้แล้ว น้ำท่วมอันรุนแรงนั้นไม่ได้พรากทุกสิ่งไปจากเราเสียหมด จะว่าไป น้ำท่วมไม่ได้ทำอะไรกับชีวิตและธรรมชาติเลยด้วยซ้ำ กระทั่งเชื้อพันธุ์ของเห็ดอันบอบบาง น้ำท่วมก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ เห็ดยังคงอยู่ที่นี่ ตรงนั้นตรงนี้ อาจเป็นนอกบ้าน ใต้ต้นมะเดื่อ บนที่ดอนซึ่งน้ำท่วมไม่ถึง รวมถึงในบ้าน และกระทั่งบนเท้าแขนของอาร์มแชร์ชื้นๆตัวหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวบิงส์จึงมีความหวังอยู่เสมอที่จะได้เห็นเห็ดมหัศจรรย์ผุดโผล่ขึ้นมาตรงนั้นตรงนี้ทุกเมื่อ พวกเขาอาจมีอาหารเย็นโผล่ขึ้นมาบนชั้นหนังสือ มีออร์เดิร์ฟเกิดขึ้นบนเปียโน หรือมีอาหารเช้าผุดขึ้นบนโต๊ะอาหารก็เป็นได้

และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากน้ำท่วมครั้งนั้น ครั้งที่นำเอาการทำลายล้างและความชื้นมาสู่ผู้คน

แต่กระนั้น-แอนนี่ครับ, ผมก็ยังหวั่นหวาด เพราะธรรมชาติอาจเยียวยาผู้คนที่อยู่ชิดใกล้ธรรมชาติ ทว่าสำหรับคนเมืองอย่างผมที่อยู่ห่างไกลจากธรรมชาติ-ธรรมชาติจะเยียวยาเราหรือ

ผมได้แต่จินตนาการว่า บนคอนโดมิเนียมชั้นห้าที่ผมอาศัยอยู่นี้ บางทีเมื่อตื่นขึ้นในเช้าหนึ่ง ผมอาจเห็นผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตาลึกเท่าชั้นสามหรือสี่ หรือแม้กระทั่งตื่นขึ้นพบตัวเองตกจมตายอยู่ใต้น้ำก็เป็นได้

เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ในปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ ชั่วโมงหน้า นาทีหน้า หรือวินาทีที่กำลังจะมาถึง

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมอยากมีจิตที่ปกติได้เหมือนคุณ มองโลกได้สงบราบเรียบเหมือนคุณ ไม่ขึ้นตกแฟบฟูเหมือนอย่างที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ครับ

ผมเขียนมาบอกคุณถึงความกังวลใจเพียงเท่านี้ ผมรู้ว่าคุณจะปลอบโยนผมและมนุษยชาติอย่างไร

เพราะคุณได้ทำไปแล้ว ในหนังสือของคุณ


จากผม

คนที่พยายามมีชีวิตอยู่

*****************************

ป.ล.1 ยีน, ขออนุญาตยกหน้า เมลบ็อกซ์ ที่คุณโตมร(ชายในดวงใจ-555+)เขียนไว้ในโอเพ่นออนไลน์ มาประดับที่หน้าบล็อกยีนหน่อยเถอะนะ...

ป.ล.2 ขออภัยด้วยหากใช้สอยพื้นที่เยอะเกินไป
-_-"

ป.ล.3 เราอยู่บนโลกใบเดียวกัน...แต่เราใช้สมอง สองตา และหัวใจ มองดูโลกแตกต่างกันอ่ะนะ(อืม...โดยเฉพาะ--บุคคลบางประเภทที่คิดแต่จะตักตวงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากโลกใบนี้เพียงเท่านั้น

 
At 11:49 PM, Anonymous Anonymous said...

ห้าปีแล้วเหรอครับ
เวลาผ่านไปไวมาก

บางทีก็รู้สึกผิดหวัง หรือสิ้นหวังกับโลกใบนี้

บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า
กำลังเดินคนเดียวบนโลกที่หดหู่และอ้างว้างที่สุด

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ผมยังรักโลกใบนี้อยู่เลยอ่ะ

อยากให้ความรู้สึกบริสุทธิ์แบบนั้น กลับคืนมา...

สักวัน ผมคงพบที่ทางของตัวเอง

แต่ก็ยินดีที่ได้รู้จัก เพื่อนร่วมโลก อย่างคุณยีนนะครับ

^_^

 
At 5:41 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย...
แหง็ก!!! ยาวเชียว
แต่ชอบครับ อ่านแล้วรู้สึกอะไรหลายอย่าง
ให้รางวัลผู้โพสต์คอมเมนต์ยาวที่สุด
ตั้งแต่เคยมีมาเลยอ่ะพี่ ^^

ไม่เท่ากันนิเอง...

คุณขาม...
บางทีก็รู้สึกเป็น "คนนอก"ตามงานเขียนของการ์มูมีตอนหนึ่งเขากล่าวไว้ว่า ...ฉันไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่คนที่อื่นด้วย โลกเป็นเพียงทัศนียภาพที่แปลกตา ที่ใจฉันไม่อาจนำพาเป็นที่พักพิงได้...

ผมก็ไม่อาจมองโลกอย่างที่สายตาวัยเยาว์เห้นอย่างนั้นอีกแล้ว กลับมองเห็นอย่างที่มันเป็น แต่ก็ไม่ละเลยที่จะละเอียดอ่อนบ้างยามจิตดี ^^

ยินดีที่ได้รู้จัก คุณขามเช่นกัน พบที่ทางของคุณแน่ๆ ครับ ผมเชื่ออย่างนั้น :)

พี่บุญชิตฯ...
ผมก็ว่าอย่างนั้นน่ะครับ
แล้วแถมยังกลัวมากขึ้นด้วย แต่บางทีก็สงสัยเขาอาจอาศัยความกลัวที่สื่อกระพือนี้ เพื่อผลทางอำนาจในการรุกรานต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้โลกสงบสุขตามนิยามของ
เขา อาศัยความกลัวรุกรานคนอื่นๆ ต่อไป ขณะที่น้ำแข็งในกรีนแลนดืละลายมากขึ้น...เฮ้อ

 
At 6:09 PM, Anonymous Anonymous said...

m a e b* said...

(ไว้อาลัยอย่างสงบ 1 นาที....เพราะเราอยู๋บนโลกใบเดียวกัน)


Jamiroquai
Corner of The Earth

Little darlin' don't you see the sun is shining
just for you, only today
If you hurry you can get a ray on you, come with me, just to play
Like every humming bird and bumblebee
Every sunflower, cloud and every tree
I feel so much a part of this
Nature's got me high and it's beautiful
I'm with this deep eternal universe
From death until rebirth

This corner of the earth is like me in many ways
I can sit for hours here and watch the emerald feathers play
On the face of this I'm blessed
When the sunlight comes for free
I know this corner of the earth it smiles at me
So inspired of that there's nothing left to do or say
Think I'll dream, 'til the stars shine

The wind it whispers and the clouds don't seem to care
And I know inside, that it's all mine
It's the chorus of the breakin' dawn
The mist that comes before the sun is born
To a hazy afternoon in May
Nature's got me high and it's so beautiful
I'm with this deep eternal universe from death until rebirth

[chorus]
You know that this corner of the earth is like me in many ways
I can sit for hours here and watch the emerald feathers play
On the face of it I'm blessed
When the sunlight comes for free
I know this corner of the earth it smiles at me x5

This corner of the earth, is like me in many ways
I can sit for hours here and watch the emerald feathers play
When the sunlight comes for free
I know the corner of this earth it smiles at me

:P

ขอแปะตามใจด้วยคน (ในบลอกคนอื่นด้วยน๊ะ!!!) ^^

 
At 10:34 PM, Anonymous Anonymous said...

เฮ้ย...มันยากยังไงพี่ จะใช้อะไรเขียน

 
At 12:13 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

โห มีแต่คนตอบยาวๆทั้งนั้น

เราเดินอยู่บนโลกเดียวกัน
แต่ต่างกรรม ต่างวาระ
ต่างสามัญสำนึก

^^

 
At 3:31 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่บีม...

เอ่อ เพลงไรเนี่ย...
ไม่เจอเลย คิดถึงอ่ะพี่ ทั้งบูมและคนอื่นๆ ด้วย
ระวังรักษาตับดีๆ นะครับ ^^

พี่จอย...
เชื่อว่าไม่ค่อยได้เจอครับ
แต่ไหงผมเจอทักษิณในทีวีทุกวันเลยอ่ะ เซ็งเลย

โต...
เชี่ย ไรของเมิงเนี่ย
เขียนอะไรก็ให้มันเกี่ยวกับที่เขาคุยกันหน่อยสิเมิง
อ่านตั้งนานกว่าจะรู้ว่า เมิงเขียนถึงที่ตรูไปตอบในสเปซอ่ะ งงเลย ฮ่าๆๆ

น้องอุ๋ย...
ตอบสั้นๆ ก็ได้น้อง ไม่ห้าม^^
ที่อยู่ใหม่เป็นไงบ้าง อีกไม่กี่วันก็เปลี่ยนที่ทำงานใหม่
อีกแล้วสิน้อง สู้เว้ย ^^

 
At 3:55 PM, Blogger thaimini said...

จำได้วันนั้นยังนั่งกินข้าวอยู่โรงอาหารหอ 6 หญิง กะเมท
ผ่านมา 5 ปี แล้ว เร็วจังเนอะ
อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปๆ...รวมทั้งตัวเราด้วย

 
At 4:21 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

นิด...

เป็นอะไรหรือเปล่าน้อง?
เปลี่ยนไปจนตัวเองตกใจเลยเหรอ
วันนั้นที่กินข้าวหอหกหญิงมันมีอะไรในความทรงจำเหรอ...?

อืม..เวลามันก็เดินทางของมันไปเรื่อยๆ แหละ
น้าชาติเคยบอกว่า ตอนอายุยี่สิบไปสามสิบนั้น เรารู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วแล้ว ตอนอายุสามสิบไปสี่สิบ เราจะรู้สึกว่ามันเร็วกว่านั้นอีก โลกมันหมุนไปเรื่อยๆ ยิ่งวิถีชีวิตเราไม่มีเรื่องราวแตกต่างในแต่ละวัน เรื่องราวในชีวิตมันจะเหมือนว่าทำงานแล้วก็กลับบ้าน อาบน้ำ ตื่นมาทำงานอีก

ออกไปข้างนอกบ้าง มองหน้าต่างบ้าง อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก แต่ก็นะ...เราก็ยังดิ้นรนไม่แตกต่างไปเลยน้อง ^^

 
At 9:51 PM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณที่ช่วยกันตั้งคำถาม..นะ

ทำให้นึกไปถึงเรื่อง "ไม่เท่ากัน" ที่พี่จ๋อยเขียน

ทำให้นึกไปถึง "ความเกี่ยวข้องของคนอื่นไกล" ที่พี่คมเขียน

ทำให้นึกถึงคำว่า "คนทุกคนต่างเป็นเพื่อนกัน เพียงแต่เรายังไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง"

อืม.. เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน เวียนว่ายตายเกิดไปด้วยกัน

ถ้าเบื่อถึงที่สุด คนบางคนก็หาทางออกไปจากวงโคจรนี้

ว่ากันตามทางพุทธ ไม่พั้นคำว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" นึกแล้วก็ทำให้วางใจ อุเบกขาไปได้บ้างนะ

 
At 2:57 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่เขียน...
ฮ่าๆ ทำให้นึกถึงเรื่องที่พี่จ๋อยกับพี่คมเขียนซะงั้น
บางทีมันก็สงสัยน่ะครับ พี่ ^^

 
At 12:11 PM, Anonymous Anonymous said...

ไม่ค่อยได้เผชิญน้ำท่วมแบบจะจะเหมือนยีนเลยอ่ะ

แต่เท่าที่ได้เห็นภาพข่าวจากทีวี ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็พอจะรับรู้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่ามันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่แพ้ภัยธรรมชาติอื่นอื่นเลย

นึกถึง เมล บ็อกซ์ ที่คุณโตมร เขียนถึง แอนนี่ ดิลลาร์ด- ที่เธอเขียนเรื่องน้ำท่วมเอาไว้นานนับศตวรรษแล้วนั่นนะ ‘ฤดูกาลได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว’ จริงจริง

และนักวิชาการหลายต่อหลายคนก็ยังออกมายืนยันว่า...น้ำแข็งขั้วโลกได้ละลายไปแล้วจริง

แม้ผืนดินที่เราอยู่จะดูห่างไกลจากก้อนน้ำแข็งมหึมานั่น แต่แท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้ไกลเกินกันนักเลย

เราล้วนยืนอยู่บนโลกใบเดียวกันนะ--

เสียงปืน เสียงระเบิดจากสงครามน้อยใหญ่ที่ดังก้องในอิรัก เลบานอน ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ 3-4 จังหวัดภาคใต้ของเรา ก็ดังชัดเจนไม่ต่างกันนักหรอก

วุ้ย...ออกอ่าวไปไกลจังแฮะเรา

น้ำท่วมปีนี้ เขาว่า อาจจะมากกว่าปี ’38 ด้วยซ้ำ น้ำที่ไหลนองมาสมทบจากทุกสารทิศ มันก็พัดพาหยาดน้ำตาของผู้ประสบภัยรวมมาด้วย

ทั้งนี้ก็รวมถึงเราเรา ที่เฝ้าติดตามข่าวอยู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ก็ทำกันเถอะนะ

น้ำท่วมพอเบาะเบาะ แบบลุยลุยเอาสนุกอย่างที่เด็กเด็กมักออกไปเล่นกันหลังฝนตก ภาพในอดีตแบบนั้น อาจไม่มีให้เห็นคุ้นตาอีกแล้ว

น้ำมากมายขึ้นทุกวี่วัน...

โลกมีอายุขัยของมัน เชื่อเช่นนั้นจริงจริงนะ

แต่เราก็ยังคงไม่หยุดทำร้ายโลก ทำร้ายกันเอง

หรือน้ำที่หลากอยู่ทุกวันนี้...ไม่ได้มีเพียงน้ำฝน

อาจเป็น...โลกที่กำลังหลั่งรินน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมที่มนุษย์ต่างร่วมกันสร้างขึ้น...ก็เป็นได้

นะ

 

Post a Comment

<< Home