the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Sunday, February 04, 2007

เราปลูกฝังความเกลียดชัง

บ่ายวันนั้น
ผมเดินออกจากประตูทางด้านหน้า...

หอพักของผมต้องใช้คีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู แต่เพราะเจ้าของห้องแต่ละห้องนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกัน ในลักษณะที่มีผู้เช่าซื้อและนำออกปล่อยให้เช่าต่อ จึงมีผู้คนมากมายเดินเข้าออกหอพักไม่ซ้ำหน้าและหลายคนนั้นไม่มีคีย์การ์ด บ่อยครั้งที่ผมเดินเข้าในเวลาเย็นก็จะมีสตรีชาวจีนเดินสวนออกมาในชุดที่จะออกไปทำงาน มีชาวผิวดำในชุดประจำชาติ ลักษณะของการนำผ้าผืนยาวมาตัดเป็นเสื้อและกางเกงสีเดียวกัน และมีผู้คนหน้าตาออกไปทางชาวตะวันออกกลาง และเอเชียใต้อยู่ไม่น้อย

หอพักของผมอาจเป็นสหประชาชาติขนาดย่อม
การเปิดประตูให้กับคนที่ไม่มีคีย์การ์ด ทำให้ผมได้ยินทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ
กล่าวโดยความหมายถึงคำว่าขอบคุณ...

ช่วงสองปีมานี้ประชากรในหอพักเพิ่มมากขึ้น
ผมสังเกตเอง โดยดูจากจำนวนของเด็กที่พากันออกมาวิ่งเล่นใต้หอพัก
มีทั้งที่เป็นเด็กหญิงน่ารักชื่อนุช หรือน้องแตงโมที่เพิ่งคลานได้
เด็กบางคนยังอยู่บนรถเข็น กลุ่มเด็กผู้หญิงสามสี่คนของร้านขายข้าวใต้หอที่น่าจะเรียนอยู่ชั้นประถม รวมถึงเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกลุ่มใหญ่ประมาณหกถึงเจ็ดคน จับกลุ่มวิ่งเล่นและทะเลาะกัน

แต่ที่สะดุดตาของผมเสมอเป็นเด็กชายวัยไม่เกินสิบปีสองคน ผมเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ผมมักเห็นพี่น้องทั้งสองคนนี้ เล่นด้วยกันอยู่ในบริเวณใต้หอพัก คนพี่เป็นผู้ได้สิทธิในการปั่นจักรยานที่มีอยู่เพียงคนเดียวสม่ำเสมอ ส่วนคนน้องทำได้เพียงวิ่งตามและสนุกสนานไปด้วย

ผมมักยิ้มในใจเสมอที่ได้เห็นภาพนั้น
ผมชอบดวงตาของน้องชาย
ที่มีประกายตาฝันถึงการได้สัมผัสและปั่นจักรยานสักวันหนึ่ง

ผมยังไม่ได้บอกว่า เด็กชายทั้งสองนั้นเป็นลูกของชาวต่างชาติ
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชาติไหน แต่เข้าใจว่ามีเชื้อชาติจากแถบอินเดีย หรือศรีลังกา
กระนั้นสำหรับผม เขาทั้งสองเป็นเพียงเด็กชายเท่านั้น...

บ่ายวันนั้น
ผมเดินออกจากประตูทางด้านหน้า...

หน้าประตูเด็กชายทั้งสองคนกำลังเล่นอยู่ตามปกติ
ผมเปิดประตูคีย์การ์ดออกไป พอดีกับพี่สาวคนขายของชำร่วยใต้หอพัก
กำลังพยายามเปิดประตูและขนน้ำเข้ามาส่งด้านใน
พี่สาวคนนั้นหันไปตวาดเรียกเด็กทั้งสอง...
“เข้ามาได้แล้ว! เร็วๆ !!”
ไม่เพียงน้ำเสียงเท่านั้นที่กระชากเรียก สายตาก็เสมือนเบ็ดเกี่ยวรั้งแล้วดึงเต็มแรง
แต่เด็กทั้งสองไม่มีทีท่าจะสนใจเสียงเรียกและดวงตาคู่นั้นเลย
พี่สาวคนนั้นโวยวายอะไรอีกหลายคำ
แต่มีเพียงคำเดียวที่ทะลุสมองเปราะบางของผมเข้ามาได้
“....โง่เอ๊ย”
พี่สาวส่งเสียงแค้นเคืองเท่านั้นก่อนปิดประตูหายเข้าไปด้านใน


ผมคิดว่าเด็กทั้งสองคนนั้นไม่ทราบหรอกว่า
พี่สาวคนนั้นพูดว่าอะไรบ้าง
แต่...

ผมเชื่อว่า บรรยากาศ สีหน้า น้ำเสียงเหล่านั้น
สามารถสื่อสารไปถึงพวกเขาได้ (แม้จะภาวนาว่า การสื่อสารเป็นอัมพาตทีเถอะ)
ส่วนจะมากน้อยเท่าใดนั้น ไม่อาจรู้ได้
และมันจะตกค้างหรืองอกเงยขึ้นในใจของเด็กทั้งสองหรือไม่...
ผมไม่รู้...


เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในบ่ายวันนั้น
เด็กสองคนนี้เคยตกเป็นเป้าหมายของเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่รอบข้าง
ผมไม่รู้ว่า พี่คนนั้นพูดอะไร เพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง
พี่เขาเพียงทำเสียงล้อคำพูดภาษาต่างประเทศของเด็กทั้งสอง
เสียงหัวเราะกังวานใส่เด็กที่ไม่อาจสื่อสารกับโลกรอบข้างได้

ผมไม่รู้ว่า คนเรากระทำเรื่องราวประเภท
แยกเขาออกจากเราเพื่อเป้าหมายอะไรบ้าง
แต่จากที่เคยได้ยินมานั้น การแยกเขาออกจากเราได้ยิ่งชัดเจนเพียงใด
ก็จะทำให้เราสามารถกระทำเรื่องราวต่างๆ ต่อเขาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
สมัยเหตุการณ์สิบสี่ตุลาฯ การประกาศว่านักศึกษาเป็นญวน เป็นคอมมิวนิสต์
ทำให้เกิดศพจำนวนมากในเมืองหลวง

ในขณะที่เราเรียกร้องให้ใครเข้าใจ
เราละเลย เพิกเฉยไปมากน้อยเท่าใด

เรื่องเล่าของเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางไปเมืองนอก
ด้วยทุนเล่าเรียนในสมัยมัธยมฯ สำหรับการจากบ้านเช่นนั้น
เขาเป็นคนที่เรียนเก่งและสามารถได้รับสิทธิ์นั้น
แต่สังคมที่นั่นเพาะเรื่องราวบางประการต่อจิตใจเขา
ในงานเลี้ยงสังสรรค์ประดามีตามประสา
ชายผมทองคนหนึ่งตะโกนสาดเสียงใส่เขา
ท่ามกลางแอลกอฮอล์คละคลุ้งในลมปาก
"มึงมาที่นี่ทำไมว่ะ ไอ้ลิง กลับไปซะ!!"

ผมไม่รู้จักประสบการณ์ประเภทนี้
ค่าที่ไม่เคยเดินทางออกไปยังต่างแดน
และโดยมาตราฐานความเชื่อของผม ซึ่งเชื่อเสมอว่า
ผมไม่เชื่อเรื่อง stereotype เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะ
กระทำการเช่นนี้ อาจมาก อาจน้อย ผมไม่รู้
พี่ๆ เพื่อนๆ อีกหลายคนที่ไปตระเวนชีวิตที่ต่างแดนอาจจะตอบ
ต่อเรื่องราวเช่นนี้ได้ชัดเจนกว่า

แต่ขณะที่ผมก้าวเท้าข้ามน้ำครำในตลาด
เสียงแหวกอากาศประการหนึ่งก็กระทบเข้า
"ใช้ผ้ายาวกี่เมตรมาตัดเสื้อว่ะ"
"มึงใช้ผ้ากี่เมตรว่ะ"
แล้วเสียงหัวเราะก็เจือกัน
ประโยคสบถเหมือนพูดกับตัวเองและเพื่อนข้างๆ
ของชายวัยกลางคนบริเวณร้านข้าวราดแกง
ประโยคดังกล่าวพุ่งเป้าไปสู่ชายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าผม

เขาสวมเสื้อประจำชาติที่ตัดจากผ้าสีน้ำเงินเข้ม
ชายผิวดำยังคงเดินต่อไป เหมือนไม่รับรู้ความหมายของคำถามที่พุ่งใส่
ผมไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนคนนั้น มุ่งหมายถึงคำตอบหรือไม่?
หรือเพียงหยิบจับความแตกต่างให้เป็นขนมขบเคี้ยวหลังมื้ออาหาร
ผมไม่รู้...

เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านของเราเลือกปฏิบัติต่อคนให้แตกต่างกันไป
เด็กที่อยู่ในบ้านจะเลือกเลียนแบบจากพฤติกรรมของใครกัน
เด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ใต้หอจะแบ่งแยกกันไหม?
พวกเขาจะรู้สึกแปลกแยก
และสามารถกล่าววาจาใดๆ ก็ได้ต่อเด็กชายทั้งสองคนนั้นไหม?
เด็กชายทั้งสองพี่น้องล่ะ
พวกเขาได้รับบ่มเพาะแล้ว เมล็ดพันธุ์อุบาทว์มันจะงอกเงยหรือไม่นะ

ผมเชื่อว่า...
แม้ไม่อาจสนทนาด้วยภาษาอย่างเข้าใจ
แต่สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง จะส่งผ่านไปถึงผู้รับได้ว่า
ความหมายเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการใด

ได้แต่ภาวนาและตั้งสติ
ให้ตัวเองไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการหว่านเพาะ
สิ่งเหล่านี้ต่อคนอื่นๆ ไปด้วย
แม้มันจะยากเหลือเกินก็ตาม...






ป.ล.
ขโมยเพลงมาจากบล็อก พี่ตู่ (สตอเบอรี่บางวัน แต่ช็อกโกแล็ตทุกวันเลย) ครับ

ป.ล. สอง
เปลี่ยนเพลงแล้วครับ เป็นของ วงสุดสะแนน ในอัลบั้ม เพลงรักเชียงดาว น่ะครับ ^^

10 Comments:

At 10:21 PM, Anonymous Anonymous said...

เข้ามาอ่าน...ยังอึ้งอึ้งอยู่
ไว้นึกคิดอะไรได้แล้วจะมาตอบใหม่นะ^^

 
At 6:50 AM, Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วจุก

วะเหอๆ ซีนแบบนี้เราเจอบ่อย ทั้งจากฝรั่งไร้สาระ และจากคนไทยที่ทำกับฝรั่งเพียงเพราะคาดหมายว่าเค้าฟังภาษาเราไม่ได้
ยกตัวอย่างเรื่องนึงละกัล
...
ในภาษาฝรั่งเศส มีศัพท์คำว่า massage thaï อันแปลว่า นวดไทย แต่มีความหมายโดยนัยที่รู้กันทั่วไปว่า เป็น massage érotique คือ ใช้หน้าอกนวด

เวลาหน้าตาเอเชียๆ อย่างเราไปเดินบนถนน
ฝรั่งโง่ๆ ก็จะถามเราตามประสาฝรั่งโง่ๆ ว่า เป้นคนจีนรึป่าว ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมมันถึงคิดว่า คนที่มาจากเอเชีย ต้องเป้นคนจีนทุกคนด้วย (วะ)

ที่เรายังรู้เลยว่า คนฝรั่งเศส หน้าตาไม่เหมือนคนเยอรมัน และยิ่งไม่เหมือนคนทางยุโรปเหนือ และพวกฝรั่เศสนี้ก้จะไม่เหมือนพวกยุโรปใต้อีกตะหาก

ส่วนคนที่มาจากเมกา หรือ อังกฤษ ก็จะมีคาแรคเตอร์แบบนึง ที่ไม่เหมือนคน ฝ. อีกน่ะแหละนะ

หลังจากที่ฝรั่งโง่ๆ รู้แล้วว่าเราไม่ได้เป้นคนจีน จากการส่ายหัว และ ตอบคำถามของเรา

พอมันรู้ว่าเราเป็นคนไทย มันก็จะถามเราต่อทันทีว่า โอ้..ทำ massage thaï ได้ไหม พร้อมด้วยส่งสายตาที่คิดว่า sexy สุดๆมาให้..

ตอนแรกๆ เราก็โกรธ ตามประสาพวกเลือกรักชาติรุนแรง ว่าทำไมแกมาว่าประเทศชั้นวะ

พอโดนถามแบบนั้นมากๆเข้า เราก็เริ่มเซ็ง

พอเซ็งบ่อยๆเข้า เราก็เริ่มขำ เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านี้

ดังนั้น เวลามีคนถามเราแบบนั้นอีก เราก้จะบอกไปว่า
..อืมม ทำได้ แต่ระวังมาก เพราะเป็นกะเทยแปลงเพศมา เดี๋ยวนมที่ฉีดซิลิโคนไว้จะเลื่อน..

เห็นเค้าก็หายไปหมดเลย ทำไมก็ไม่รู้เนอะ

 
At 11:51 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย...
อ้าว อึ้งซะงั้น
กลับมาตอบใหม่เวยๆ เน้อ ^^


มิ้ม...
อืม มิ้มก็มาจุกอีกคนล่ะ
กินอิ่มใหม่ๆ ก็ไปเดินเล่นก่อนสิ ^^

เราก็ว่าอย่างมิ้มอาจได้เผชิญสถานการณ์
ในต่างแดนมากๆ แน่เลย...
แต่ไม่คิดว่า เอ่อ...จะแก้ปัญหาได้ดีเช่นนี้
ฮ่าๆ กร๊าก เยี่ยมมากเลย ^^

เรื่องการเหยียดเชื้อชาติกันนี่มันก็ไม่มีได้มีสอน
ตามโรงเรียนนะ แต่ก็ได้รับและสืบทอดไม่จางหาย
ไปสักที เคยได้ยินจากพี่ๆ เหมือนกันว่าความรู้ทางภูมิศาสตร์ของเยาวชนในชาติแบบสหรัฐอเมริกาอ่อนแอ เพราะเขาไม่ค่อยได้สนใจประเทศอื่นๆ แต่ก็อย่าไปว่าเขาเพราะเอาเขาจริงๆ เราเอง (ซึ่งหมายถึง ตัวกระผมเอง) ก็ยังไม่รู้เลยว่าตามแผนที่แล้วประเทศมาลีอยู่ติดกับประเทศอะไรบ้าง...
(แหม ทำท่าจะไปเหยียดเด็กอเมริกันเข้าซะแล้วตรู)

ป.ล.
ระวังพวกนิยมสาวประเภทสองล่ะ มิ้ม ^^

 
At 8:02 PM, Anonymous Anonymous said...

คลิกเข้ามาตอบยากมากเลยอ่ะครับคุณยีน
ไม่รู้ทำไม -_-"

ผมเคยทำงานในบริษัทฝรั่งนะ
เข้าใจเลยว่า การเหยียดเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ มันเป็นยังไง
แต่ผมไม่เคยยอมหรอก
เคยทะเลาะกับฝรั่งหลายคนในบริษัทด้วยครับ

เรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งกลุ่ม
เห็นจะไม่ได้แค่แบ่งกันตามเชื้อชาตินะครับ
คนไทยด้วยกันเองก็เถอะ
ยังดูถูกกันเองเลย
แบ่งกลุ่มกันไปตามฐานะ สถาบัน ความเชื่อ ฯลฯ

น่าเบื่อเนอะ
ยิ่งหน้าตาโลโซแบบผมเนี่ย
รู้สึกว่าโดนกระทำเป็นประจำ
และผมก็แย่อยู่อย่างนึง คือใครร้ายมาก็ร้ายตอบ
ไม่เคยใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวเลยอ่ะ
ไม่ได้เกลียดชังใครนะครับ (เหมือนแก้ตัว)
แต่แค่รู้สึกว่า ผมอยากปกป้องตัวเอง

 
At 10:20 AM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

คุณขาม...
ผมก็ไม่รู้ว่าบล็อกเป็นอะไรน่ะครับ
เพราะบางทีหากผมไม่ได้ล็อกอินชื่อเข้ามาก่อน
ผมก็ตอบยากเหมือนกันครับ
หลังๆ เลยจำเป็นต้องล็อกอิน
ก่อนเข้ามาตอบทุกทีเลยครับ

อืม มันน่าหดหู่ใจอ่ะครับ
เวลาเจอคนงี่เง่าด้วยเรื่องแบบนี้
แล้วก็เห็นด้วยครับ
ไม่ใช่แค่เรื่องเชื้อชาติ ชาติพันธุ์
เรามักต้องเผชิญหน้ากับการประเมินค่าจากภายนอกก่อนเสมอ

บางครั้งผมจึงอาศัยถ้อยคำปลอบประโลมตัวเองว่า "ความหมายคนอื่นสร้าง คุณค่าเรากำหนดเอง"
ไม่ว่าอย่างไร เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้ใครต่อใครมองเราเช่นไร แต่ว่า เรารู้ตัวเราเองว่าสิ่งนั้นๆ ที่เรากระทำมันมีคุณค่าเช่นไรต่อเราและคนอื่นๆ

บางทีก็โกรธ
บางทีก็หงุดหงิด
บางทีก็เซ็งๆ เบื่อๆ
บางทีก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเอง
สงสารคนเหล่านั้นที่เขายึดมายาคติ
จนแทบจะถ่วงเขาจมมหาสมุทรไป

ป.ล.
ไม่แย่หรอกครับ บางอารมณ์ผมก็เป็นเช่นนั้นครับ
ใครแทงมา ผมกางเกราะ เบ่งหนามเลยทีเดียว
เคยคิดเล่น (แต่หวังให้เป็นจริง) อยากมีพลังหัวเราะยูไล แบบในหนังจีนเรื่องหนึ่งที่เคยดู เอาไว้หัวเราะเสียงดังๆ ใส่เรื่องราวประดามีพวกนี้ ฮ่าๆๆๆ ^^

 
At 2:03 PM, Anonymous Anonymous said...

ยังไม่เคยเจอกับสถานการณ์อย่างนี้เลย ถึงแม้จะสื่อสารกันไม่เข้าใจหรือเราคิดว่าเค้าฟังไม่รู้เรื่องแต่เราว่ามันรู้สึกได้...ไม่ดี..ไม่ดี

 
At 2:47 PM, Anonymous Anonymous said...

นิด...

ไอ้น้อง บังอาจวางยา
หน้าบล็อกของนิดน่ะมีไวรัสนะ
รู้ตัวเปล่า tojan น่ะ

ตกใจหมดเลย
อืม ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ
ไม่อยากเจอแล้วก็ไม่อยากทำเองด้วย
เนอะ ^^

 
At 7:43 PM, Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วนึกถึงคำของอีนาร์รีตูที่พูดถึงหนังเรื่อง บาเบล เลยค่ะ
"สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุขก็คือ การที่ตัวเองได้แตกต่างจากคนอื่น แต่นั่นก็เป็นความน่าสังเวชและความอ่อนแอของมนุษย์เช่นกัน มันเป็นความเลวร้ายที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
"โศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติอยู่ตรงการไม่สามารถรักหรือถูกรักจากคนอื่น"
กับตัวเราเอง บ่อยๆ ครั้ง แม้แต่กับคนที่พูดภาษาเดียวกัน อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ก็ยังอดที่จะขีดเส้นแบ่งแยกเขา-เรา ไม่ได้
สิ่งที่พยายามทำก็คือ ไม่ให้ความรู้สึก 'เขาไม่ใช่เรา' นั้นแปรเปลี่ยนรูปเป็นความเกลียดชัง กระทั่งกลายเป็นหอกดาบมุ่งอาฆาตมาดร้ายกัน เท่านั้นเอง

อ้อ ลืมทักทายไป
นาเอง แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ
พอดีพักนี้หัวสมองมันตื้อๆ เลยออกเดินสายชมบล็อคคนนั้น-คนนี้ เฮ้อ เรื่อยเปื่อยจริงๆ เล้ย

 
At 11:24 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

นา...
สวัสดีจ้า นา
ดีใจที่แวะมาเยี่ยมเยือน
ไว้ออกมาเดินชมบล็อกอีกนะ

ป.ล.
เราไปดู babel มาแล้วล่ะ
ว่าจะเขียนอะไรถึง
แต่ไม่รู้เมื่อไหร่เลย ^^

 
At 10:26 AM, Anonymous แปลภาษาฝรั่งเศส said...

เขียนได้ใจมากๆ ซึ้งจังครับ

 

Post a Comment

<< Home