the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Thursday, October 12, 2006

น้ำท่วม

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพาน...
เมื่อสองสามช่วงเวลาก่อนหน้า มีบางอย่าง
วิ่งผ่านดังแผ่นฟิล์มในกบาล

เมื่อวานก่อน, รถโดยสารเลี้ยวหลุดจากแยกสามย่านมาได้ครึ่งคัน
แล้วนิ่งค้างอย่างนั้นครึ่งชั่วโมง... เย็นวันนั้นฝนกระหน่ำทั่วทุกพื้นที่สายตา
พื้นถนนเปี่ยมไปด้วยน้ำจนมองเห็นได้จากประตูของรถ
คลื่นน้ำแยกและปรี่เข้าหากันเมื่อรถวิ่งผ่านไป...

ตอนนั้น, บ้านผมเดิมออกแบบโดยพ่อ ต่อเติมและเสริมตามการสร้างสรรค์ของพ่อ
แม่มักจะเรียกพ่อว่า สถาปนึก ส่วนหนึ่งที่แม่หยิบมาค่อนตลอดก็คือ
ชานบ้านที่พ่อเสริมออกจากตัวบ้านเดิมแล้วทำหลังคาใหม่
ทุกหน้าฝนหลังคาส่วนที่เสริมขึ้นมาใหม่จะทำให้ผม และทุกคน
ต้องตื่นมาตักน้ำฝนกันน้ำท่วมอยู่ทุกเมื่อ ถังน้ำสองสามใบ กับบุ้งกี๋ในมือ
กวาดไปบนพื้นปูนที่ฉาบเรียบ แต่มีแอ่ง ทำอย่างนั้นทุกบ่อย
จนในห้องนั้นมีกลิ่นของเนื้อไม้เปียกน้ำติดอยู่ในความทรงจำ

ผมชอบเวลาฝนตก เพราะถนนหน้าบ้านในสมัยยังเด็กนั้น
เป็นถนนกรวดแดงและพัฒนามาเป็นถนนที่มีหินสีขาวโรยไปทั่ว
ถึงกระนั้น เวลาฝนมาเยือนถนนจะยุบตัวและผุดแอ่งน้ำเล็กๆ ขึ้นมาแทน
น่าประหลาดที่ในวันวัยเท่านั้น แอ่งน้ำเล็กๆ กับมีลูกอ็อดว่ายอยู่
แม้จะเป็นหลังฝนพรำลงมาไม่นานก็ตาม ต้นไม้เล็กๆ ยังผุดงอกขึ้นได้
บนถนนเส้นนั้น ต้อยติ่งอวดโฉมเย้ายวนให้เด็ดผลของมัน เพื่อนำไปใส่ในน้ำ
แล้วเฝ้ารอการปริแตก ตกใจกระพริบตาสู้ แบบตื่นเต้นกับระเบิดธรรมชาติ
ในวันเหล่านั้น ปากซอยกับท้ายซอยอย่างบ้านผมดูต่างระดับกันอยู่มาก
น้ำจะไหลเป็นร่องน้ำ บนเนื้อถนนกลายเป็นสายน้ำย่อยๆ เมื่อฝนกระหน่ำ

หลายครั้งที่น้ำท่วมท้นจากถนนไหลเข้าสู่ในลานบ้าน
ท่อระบายน้ำเล็กๆ ที่ทำด้วยซีเมนต์เอ่อขึ้นมา สนามหญ้าชุ่มฝน
ผมชอบเอามือไปรองน้ำที่ไหลจากหลังคาเล่น รวมถึงพยายามทำให้ตัวเปียก
โลกฉ่ำน้ำจะทำให้ดินหน้าต้นชบาเปียกลื่น
เดินแล้วขี้ดินติดรองเท้าเต็มจนเหมือนคนเท้าโต
แม้จะมีน้อยครั้ง แต่บางครั้งก็ลื่นจนหกล้มเปียกเปื้อนไปทั้งตัวเหมือนกัน

หลายครั้งที่น้ำไหลเข้าบ้านทั้งทางประตูและจากชานบ้านที่พ่อสร้างสรรค์
ผมมีหน้าที่ตักน้ำ และหิ้วน้ำจนตัวเอียง ในวัยเช่นนั้นมีเพียงสองอารมณ์ที่บ่มขึ้น
คือ สนุกับสายน้ำ และเบื่อกับการงานตักน้ำนั้น...
น้ำเริ่มมากขึ้นทุกปี (อาจจะไม่ทุกปีจริงๆ แต่ก็เข้าบ้านได้มากขึ้น)
บางปีเราต้องเตรียมขนของที่คาดว่าจะเปียกน้ำ และอยู่ใต้ระดับน้ำที่จะเข้ามาในบ้าน
วางไว้บนโต๊ะ เก้าอี้ก่อนนอน เพราะเกือบทุกครั้งนั้นน้ำจะมาเคาะประตูในยามวิกาล
ยามที่น้ำท่วมไม่ได้ลำบากเพียงแค่ ยามเฉอะแฉะและเปียกชื้นเท่านั้น
แต่ยามน้ำลงแล้วทุกอย่างยังคงต้องได้รับการดูแล โคลนมากมาย
ใต้เสื่อน้ำมันเปียกเหม็น การทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่รออยู่หลังเทศกาลเช่นนั้น

ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านในปีที่น้ำท่วมมากที่สุด
ตอนนั้นผมอยู่มหาวิทยาลัยตีนดอย ที่ไม่มีแม้อาการน้ำท่วมให้เห็น
(ในยามนั้นนะหลังจากนั้นเห็นมีข่าวว่ามีน้ำระบายไม่ทันแล้วท่วมเหมือนกัน)
จากภาพถ่ายน้ำสูงถึงเอว บ้านชั้นจมหายไปเกือบหมด เพราะตอนนั้น
บ้านผมชั้นล่างนั้นต่ำกว่าพื้นถนนลงไปอีก ข้าวของมากมายสูญหาย
แม่บ่นเสียดายรูปถ่ายในวัยเด็กของผมและพี่ชาย...
ความทรงจำมากมายของผมในบ้านหลังนั้นก็หายไป
หลังจากพ่อตัดสินใจทำบ้านใหม่ ดีดบ้านและถมที่ให้สูงกว่าเดิม
หลังจากปีนั้น บ้านก็ไม่ได้พบกับปัญหาน้ำท่วมอีก
แม้สุโขทัยจะท่วมหนักมากขึ้นทุกปีก็ตาม...

ความทรงจำเกี่ยวกับน้ำท่วมที่ผมประทับใจมากที่สุด
คือ สมัยเรียน ม.สี่ คลองแม่รำพันเอ่อปริ่มจะท่วมตั้งแต่หน้าโรงเรียน
โรงพยาบาลและตลอดทางในเขตบ้านกล้วย รถโดยสารพาผมวิ่งผ่าน
ถนนชุ่มน้ำ ฝนตกปรอยๆ ในเช้าวันนั้น...

เพื่อนๆ ทยอยกันมาโรงเรียน เพราะตอนนั้นเจ็ดโมงกว่าแล้ว
เตรียมจะเข้าแถวหน้าชั้น เพราะฝนที่พรำมาตลอด
เพื่อนคนหนึ่งวิ่งมาบอกว่า น้ำมาจากทางหลังโรงเรียน
เพราะทางหลังโรงเรียนเป็นทุ่งข้าว และพืชผลทางการเกษตร
ซึ่งอยู่ติดกับคลองแม่รำพัน ไม่มีใครเอว่าน้ำจะมาตอนนั้นเพราะเช้าแล้ว
แต่เสียงตามสายก็ประกาศมาว่า ปิดโรงเรียน และขอให้นักเรียนกลับบ้าน
ไส้เดือนขึ้นมายั้วเยี้ยอยู่เต็มถนนทางเดินในโรงเรียน เด็กผู้หญิงวี้ดว้าย
ส่วนพวกผมอาจารย์มาเกณฑ์ให้ไปช่วยย้ายข้าวของในบ้านพักครู
เพื่อขึ้นไปกองไว้บนถนนในโรงเรียน น้ำค่อยๆ สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากการที่นำโต๊ะมาวางเรียงเพื่อให้เดินส่งของต่อๆ กันได้
จนกระทั่งโต๊ะ ค่อยๆ ลอยตามน้ำจนขาโต๊ะไม่ติดพื้นอีกต่อไป
น้ำค่อยๆ ข้ามจากฝั่งบ้านฟักครูเอ่อขึ้นบนถนนแล้วกลายเป็นน้ำตก
เมื่อไหลไปสุดถนนลงสู่สนามฟุตบอลที่มีลักษณะเป็นชามอ่างลึกลงไป
จากพื้นถนน ปีนั้นพวกผมขี่รถมอเตอร์ไซด์ตะลุยน้ำไปโรงเรียน
เพื่อไปเล่นน้ำในสนามบาส ขี่รถเบียดไปบนถนนเรียบแม่น้ำยม
ที่พอน้ำลดและให้ใจหายวาบ เพราะพื้นถนนบริเวณนั้น
เว้าแหว่งกินเข้ามาเกือบครึ่งถนน หากเพียงขี่รถหลุดหล่นไป
เพื่อนและผมอาจหายไปกับสายน้ำนั้น...
ภาพแปลกตานั่นยังติดตาผมอยู่ และเชื่อว่ายังติดตาของเพื่อนๆ
ทุกคนในวันนั้นด้วย...

หลังจากนั้นจนกระทั่งจบม.ปลาย น้ำท่วมโรงเรียนทุกปี

ใครสักคนเคยเขียนเนื้อเพลงที่ร้องทำนองว่า
"น้ำท่วมใครว่าดีกว่าฝนแล้ง"
ภาพข่าวที่ผมรับรู้ในวันเวลาเช่นนี้
มันบอกให้รู้ว่าบ้านเมืองเรามันเมืองน้ำขนานแท้
สงสารและกังวล ทอดถอนลมหายใจอยู่เสมอ

ท้องน้ำเคลื่อนไหวไปสุดสายตา
พัดพา พัดผ่าน และพัดพรากในที่สุด

ป.ล.
เชื่อว่าหลังจากวันนี้ จะมีคนพูดถึงเขื่อนมากขึ้นกว่าเดิม
กระนั้น...โลกมีอายุขัย เราเองก็เช่นกัน

5 Comments:

At 12:12 PM, Anonymous Anonymous said...

ไม่ค่อยได้เผชิญน้ำท่วมแบบจะจะเหมือนยีนเลยอ่ะ

แต่เท่าที่ได้เห็นภาพข่าวจากทีวี ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็พอจะรับรู้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่ามันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่แพ้ภัยธรรมชาติอื่นอื่นเลย

นึกถึง เมล บ็อกซ์ ที่คุณโตมร เขียนถึง แอนนี่ ดิลลาร์ด- ที่เธอเขียนเรื่องน้ำท่วมเอาไว้นานนับศตวรรษแล้วนั่นนะ ‘ฤดูกาลได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว’ จริงจริง

และนักวิชาการหลายต่อหลายคนก็ยังออกมายืนยันว่า...น้ำแข็งขั้วโลกได้ละลายไปแล้วจริง

แม้ผืนดินที่เราอยู่จะดูห่างไกลจากก้อนน้ำแข็งมหึมานั่น แต่แท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้ไกลเกินกันนักเลย

เราล้วนยืนอยู่บนโลกใบเดียวกันนะ--

เสียงปืน เสียงระเบิดจากสงครามน้อยใหญ่ที่ดังก้องในอิรัก เลบานอน ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ 3-4 จังหวัดภาคใต้ของเรา ก็ดังชัดเจนไม่ต่างกันนักหรอก

วุ้ย...ออกอ่าวไปไกลจังแฮะเรา

น้ำท่วมปีนี้ เขาว่า อาจจะมากกว่าปี ’38 ด้วยซ้ำ น้ำที่ไหลนองมาสมทบจากทุกสารทิศ มันก็พัดพาหยาดน้ำตาของผู้ประสบภัยรวมมาด้วย

ทั้งนี้ก็รวมถึงเราเรา ที่เฝ้าติดตามข่าวอยู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ก็ทำกันเถอะนะ

น้ำท่วมพอเบาะเบาะ แบบลุยลุยเอาสนุกอย่างที่เด็กเด็กมักออกไปเล่นกันหลังฝนตก ภาพในอดีตแบบนั้น อาจไม่มีให้เห็นคุ้นตาอีกแล้ว

น้ำมากมายขึ้นทุกวี่วัน...

โลกมีอายุขัยของมัน เชื่อเช่นนั้นจริงจริงนะ

แต่เราก็ยังคงไม่หยุดทำร้ายโลก ทำร้ายกันเอง

หรือน้ำที่หลากอยู่ทุกวันนี้...ไม่ได้มีเพียงน้ำฝน

อาจเป็น...โลกที่กำลังหลั่งรินน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมที่มนุษย์ต่างร่วมกันสร้างขึ้น...ก็เป็นได้

นะ

 
At 6:58 PM, Anonymous Anonymous said...

ตอนเด็กๆ ผมเรียนต่างจังหวัดเหมือนกันครับ
ตอนนั้น หลงรัก 'น้ำท่วม' เพราะมันทำให้ผมไม่ต้องไปโรงเรียน
เวลาฝนตกหนัก ในสมองก็หมกมุ่นอยากให้น้ำท่วม

ตอนนี้ยังชอบฝนตก
แต่ไม่อยากให้น้ำท่วมเลยอ่ะครับ
มันไม่สนุกเหมือนที่เคยคิดเลยน่ะ...

 
At 11:56 PM, Blogger AUY ^ ^ said...

บ้านอุ๋ยน้ำไม่เคยท่วมเลย
แต่ตอนเด็กๆเวลาน้ำท่วมถนนบ้านยาย
ชอบวิ่งเล่นลุยน้ำ จับปลาที่ว่ายข้ามถนน
วัยเด็กของเราก็ไม่ต่างกีน
เล่นดอกต้องติ่ง
เล่นน้ำฝนตรงชายคา
เล่นรองเท้าโคลน

อ่านแล้วนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก

^^

 
At 4:13 PM, Anonymous Anonymous said...

ชอบคิดถึงน้ำท่วมในแบบโรงเรียนหยุด อยู่บ้าน
ชวนเพื่อนๆแถวบ้านเดินท่องน้ำไปจับปูปลา
(ซึ่งมันเป็นปูปลาในจินตนาการที่จำมาจากหนังจีนวิทยายุทธยามเย็น จับปลามาปิ้งกัน)
ความจริงไม่มีอะไรหรอก มีแต่แมวติดบนต้นไม้
กับปลากระดี่น้อยๆที่ถ้าปิ้งไปก็จะเป็นถ่านเสียเปล่า(จริงๆถึงปลาโตๆก็ไม่กล้าทำหรอก)

นึกถึงตอนเด็กแล้วขำตัวเอง
บ้านเราเป็นบ้านที่อายุราว 27-28 ปี ในยุคนั้นชอบสร้างบ้านแบบมีเล่นระดับ
ถัดจากห้องรับแขกมาในบ้านจะเป็นห้องนั่งเล่นมันแอ่งบุ๋ม
เหมือนพ่อเค้าออกแบบให้เล่นระดับเหมือนที่เห็นในหนังสือบ้านและสวนยุคเก่าๆ
เราเอาแต่คิดว่าถ้าน้ำท่วมเราจะมีสระว่ายน้ำในบ้าน อ่ะ หรูหราจัง
แต่ฝันเราก็ไม่เคยเป็นจริงสักครา

แก่กว่านั้นอีกหน่อยมีเรื่องหน้าตื่นเต้นตอนไปรับราชการที่ศรีสะเกษ
อำเภอที่อยู่เป็นเชิงเขาที่เป็นที่ตั้งเขาพระวิหาร
พอน้ำท่วมเราก็เหมือนเป็นเกาะกลางน้ำ เวลาส่งต่อคนไข้ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์
หลังโรงพยาบาลเป็นคลอง น้ำก็เอ่อขึ้นๆ คลังยาก็มียามหาศาล
ต้องเอาทหารพรานกับตำรวจตระเวณชายแดนมาช่วยยก
อ่ะ เราเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่า หน้าของสองหน่วยงานนี้มันคาบเกี่ยวกันอยู่หน่อยๆ
ทำให้เค้าฮึมฮัมกันในที ยามสงบ แต่พอน้ำท่วมเค้าก็ช่วยงานกันดี

ชวนพี่ทันตแพทย์ที่โรงพยาบาลกางร่มลุยน้ำไปดูน้ำท่วมตรงสะพานข้ามคลอง
มันมีของประหลาดๆลอยตามน้ำมาแบบเป็นตู้เสื้อผ้าพลาสติก
เอาไม้ยาวๆไปเขี่ยๆเล่น เป็นการละเล่นของผู้เจริญมากๆ
เห็นกระดานไม้แผ่นหนึ่งลอยน้ำมา อ่า น่าเล่น มีอะไรเกาะนะ เห็นไกลๆ

เอาไม้เขี่ย โอ้ว มันคือเรือแมงป่อง แมงป่องน้อยใหญ่เกาะไม้กระดานมา

วงแตก กลับบ้านพักไปกินเบียร์กันสองคนดีกว่า

 
At 1:31 PM, Blogger ไอ้หนวดยีน said...

พี่จ๋อย...
อืม ครับ โลกมันหมุนไปอย่างในเมลล์บ็อกซ์ที่พี่เคยนำมาโพสต์จริงๆ แล้วกระมัง ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ
ผมว่าปีหน้า ท่าทางอากาศจะร้อนและแรงอย่างมหาศาลเมื่อโลกต้องปรับสมดุลจากที่ปีนี้มีน้ำจำนวนมหาศาลท่วมบ้านเมือง ดูข่าวจากที่ไหนสักแห่ง บอกว่าข่าวการเกิดพายุจำนวนมากในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อปีที่แล้วเป้นสาเหตุของน้ำจำนวนมหาศาลที่เดินทางมาถึงซีกโลกด้านนี้ได้ ก็อย่างที่พี่ว่า แมประเทศเราจะอยู่ห่างไกลจากก้อนน้ำแข็งขั้วโลก แต่เรากลับอยู่บนโลกใบเดียวกัน
ผมว่าบางทีเสียงปืนจากซีกโลกไกลตัวยังแผ่วเบาไปในความรู้สึกด้วยซ้ำ เราอาจจะหลงลืมไปได้ เมื่อสิ่งเหล่าไม่ได้มากระทบให้รับรู้ในโมงยามปกติของชีวิต
เมื่อเช้ามีข่าวคุณยายอายุ 86 ผูกคอตาย ในบ้านที่น้ำท่วมสูงเมตรกว่าๆ ผมไม่รู้ว่ามีเรื่องในใจคุณยายอย่างไรบ้าง แต่ในสายน้ำที่เรากักกั้นไม่ให้เข้าพื้นที่เศรษฐกิจของเมืองหลวงนั้น มีน้ำตาอยู่จริงๆ แหละครับ ผมเชื่ออย่างนั้น
เห็นด้วยกับสามบรรทัดสุดท้ายของพี่ครับ --

คุณเกรงขาม...
เด็กๆ ผมก็ตื่นตา ตื่นใจกับสายน้ำที่มาปรากฏตัว บนเส้นทางสัญจรที่ทุกวันเดินเท้า และอาศัยรถ กลับกลายเป็นท้องน้ำให้เล่นเรือและพายกะละมังลอยเรื่อย
ผมก็ยังชอบฝนตกครับ ชอบโลกหลังฝนจกด้วย แต่ไม่ชอบให้น้ำท่วมเลยครับ...

น้องอุ๋ย...
เอ่อ วัยเด็กเราไม่ต่างกัน
เอ่อ นี่แสดงว่าน้องนี่อายุใช้ได้เลยนะ
เอิ๊ก ^^

พี่จูน...
โหย เล่ายาว ตามอายุเลยนะเนี่ย
เรื่องสัตว์หนีน้ำเนี่ย ก้ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนไป
เหมือนกัน เพราะว่าบางบ้านที่ย้ำท่วมไม่ถึงชั้นสอง แต่ก็ไม่สามารถนอนบนบ้านได้ ด้วยสัตว์ แมลงมีพิษ ไปหลบน้ำอยู่อาศัยบนที่นอนด้วยน่ะสิ ตอนโรงเรียนน้ำท่วมไส้เดือนบนถนนหลายร้อยตัว ทำเอาถนนลื่นไปเลย เมื่อรถแล่นทับตายเกลื่อนถนน

พี่บุญชิตฯ...
เรือป๊อกแป๊ก ผมไม่ทันได้เล่น เคยได้ยิน
แต่ไม่มีโอกาสเล่น เล่นก็แต่เรือทำจากโฟม
แล้วใช้มอเตอร์กับใบพัดประกอบเองแล่นในอ่าง
เด็กๆ ผมชอบเล่นลูกอ็อดมากกว่าปลา ชอบไปนั่งดูมันโตขึ้นมา ส่วนปลาลูกครอกน่ะ ชอบนั่งดูมากกว่าจับเองน่ะครับ ปลากัด ด้วงกว่าง ก็อาศัยดูเพื่อนเล่นน่ะครับ ไม่ค่อยจับมาเล่นเองเลย
อืม ผมจำฝนพันปีไม่ได้แล้วครับ ตอนนั้นเด็กบ้านนอกก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในเมืองด้วย การปฎิวัติมากมายที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นผมมารู้ว่ามันมีเมื่อโตขึ้นมาแล้ว
เพราะฉะนั้น เรื่องฝนพันปี
ต้องให้คนอื่นมาตอบแล้วล่ะครับ ^^

 

Post a Comment

<< Home