the Fall from anotherside, Yean

ระหว่างร่วงหล่นจากขอบสะพานสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง คำถามใดวิ่งวนสู่มโนสำนึก...

Tuesday, February 13, 2007

หอคอยแห่งความสับสน (BABEL)

เตือนซะหน่อย : ใครยังไม่ได้ดูระวังผมเปิดเผยเนื้อเรื่องเอาเองนะ
ผมเขียนไปเรื่อยไปเทื่อยนะ ^^

ผมรู้จัก บาเบล ครั้งแรกจากหนังสือการ์ตูน...
(ฮ่าๆ การ์ตูนอีกแล้วตรู)
ไม่ได้รู้ความหมายเดิมว่ามีที่มาอย่างไร
คลับคล้ายว่าสมัยเด็กๆ ก็เคยได้ยินในทำนองเป็นตำนานด้วยเหมือนกัน
แต่เด็กสังกัดพุทธโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่เล็กก็ไม่ได้สนใจนัก

อย่างที่ขึ้นต้นไว้ ผมรู้จักหอคอยบาเบลจากการ์ตูนเรื่อง สปรีแกน
การ์ตูนต่อสู้เลือดสาดที่นิยมอีกเรื่องหนึ่งของผม
ตัวเอกเป็นเด็กชาวญี่ปุ่น (แน่นอนสิ คนเขียนอยู่ญี่ปุ่นหนิ)
ใส่ชุดกล้ามเนื้อเทียมที่สามารถปรับให้ทำงานได้ตามสั่ง
หน่วยงานของตัวเอกต้องคอยทำหน้าที่ค้นหาและพิทักษ์
อารยธรรมโบราณที่ล้ำหน้ากว่ายุคสมัยของเรา
ในเรื่องผู้เขียนบอกเราว่า โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก
ความลับหลายประการในโลกมาจากอารยธรรมโบราณ
ตำนานท้องถิ่นต่างๆ เช่น เรื่องมังกรแปดหัวของภูเขาไฟฟูจิ
ในการ์ตูนเรื่องนั้นบอกว่ามีศาลเจ้าประจำตระกูลหนึ่งที่ทายาท
สามารถควบคุมภูเขาไฟด้วยลูกแก้วในศาลเจ้าแห่งนั้น
หรือ ตำนานเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ต่างๆ ทั้งหมาป่า และแวมไพร์
ตำนานเรื่องคำพิพากษาจากพระเจ้าของชาวลุ่มแม่น้ำสินธุ
ป่าอาถรรพ์ในอินเดียกับลัทธินิกายบูชาพระนารายณ์
และรวมถึง หอคอยบาเบลด้วยครับ...

ในการ์ตูนเรื่องนั้น กล่าวถึง...
ตำนานเรื่องความทะเยอทะยานของมนุษย์
ที่ปรารถนาจะสร้างหอคอยที่สูงเทียมฟ้า
แต่เมื่อพระเจ้าทรงทราบจึงพิโรธแล้วบันดาลให้
ผู้คนที่สามารถสื่อสารกันเข้าใจ แตกแยกจากกัน
ไม่สามารถสื่อสารกันได้อีก เพื่อที่มนุษย์จะไม่สามารถ
รวมตัวกันและสั่นคลอนความมั่นคงของพระเจ้าได้

(อืม เรื่องราวทำนองนี้แปลกดี
เคยได้ยินเรื่องสมัยกรีกก็เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพ
ที่จะสั่นสะเทือนพระเจ้าได้ หากมนุษย์สมบูรณ์คือมีเพศรวมกัน
พระองค์จึงทรงจับเพศหญิงแยกออกจากจากชาย
แล้วทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาส่วนหายจนวันนี้
เอ่อ..ถึงวันนี้หลายคนก็ไม่ตามหาแล้ว ^^)

ผมว่าพระเจ้าในตำนานนี้แปลกๆ นะ
รับบทตัวร้ายไปเต็มที่เลยเชียว

แต่ในการ์ตูนไปเหนือกว่านั้นคือ เขากล่าวถึงบาเบลด้านมืด
ที่สร้างบนพื้นดินที่มีการรบพุ่งไม่ห่างไปนับแต่บรรพกาล

ผมกล่าววกวนมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่า
ทั้งหมดคือเรื่องที่ติดในหัวมาตลอด
จนมาได้ยินชื่อหนังเรื่อง BABEL อีกครั้ง
(โห...กว่าจะเข้าเรื่อง)

ผมจำชื่อผู้กำกับไม่ได้แล้ว
แต่รู้สึกว่าจะเป็นคนเดียวกับที่กำกับเรื่อง 21 grams
เรื่องราวความไม่เข้าใจกันและกันของมนุษย์ได้ปรากฎเรียงร้อย
ผ่านเหตุการณ์ผีเสื้อขยับปีกห้าเหตุการณ์...
เอาเข้าจริงๆ ผมชอบทุกเรื่องที่เล่าเป็นภาพทั้งเรื่องเด็กสาวชาวญี่ปุ่น
เด็กอาหรับสองคน (ในโมรอคโค?) แม่บ้านชาวเม็กซิโกกับงานแต่งลูกชาย
คู่รักแตกร้าวในดินแดนต่างชาติพันธุ์ และตำรวจกับการตัดสิน

ผมว่า คนเราหลงลืมอะไรพวกนี้ไปเกือบหมดแล้ว
การพยายามทำความเข้าใจคนอื่นน่ะครับ

เรื่องเริ่มต้นจากภูมิประเทศรกร้าง
ดินแดนที่การค้าขายยังเป็นการแลกเปลี่ยนโดยไม่อาศัยสื่อกลาง
ปืนกระบอกหนึ่งเดินทางมาถึงมือของเด็กชายสองคน
การสื่อสารมันผิดพลาดหรือไงกันนะ?

คำพูดเป็นการสื่อสารประการหนึ่งของมนุษย์
แต่การไม่พูดก็เป็นการสื่อสารด้วยเหมือนกัน
ช่องที่ผนังห้องน้ำบอกถึงอะไรบ้าง ใครรู้ว่าเธอต้องการเช่นนั้นจริง
เมื่อน้องชายได้รับคำชมมากกว่า
ความปรารถนาจะเหนือกว่าจึงแสดงออกเสมอ
ผมไม่รู้ว่าการช่วยตัวเอง...
ก่อนที่จะปล่อยความตายจากกระบอกปืนมีความหมายอย่างไร?

ในโลกลี้ลับเช่นนั้น
การละเล่นของพวกเขาสองคน
ทำให้โลกสะเทือนไปสู่ชีวิตของผู้คนในอีกซีกโลก

กระสุนปริศนาเจาะทะลุซอกไหล่ของหญิงสาว
ที่เดินทางมาสู่โลกแปลกหน้ากับคนรัก
บาดแผลจากความทรงจำเรื่องการสูญเสียลูก
ทำร้ายความสัมพันธ์ รวมถึงการหลีกเลี่ยงการสื่อสารต่อกัน
หญิงสาวไม่ถูกชะตากับเมืองแปลกหน้า
เธอปฏิเสธความแปลกปลอมของชีวิต

"เรามาทำอะไรกันที่นี่"
"มาเพื่ออยู่ลำพัง"
ภาพตัดไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่โดยสารมาในรถคันเดียวกัน
ผู้คนจากประเทศเดียวในต่างแดน

ความอึดอัดพาดทับในดินแดนที่ความไม่วางใจสถิตย์
ผู้คนในโลกตะวันตกมองว่าชาวอาหรับ
มีความโหดร้ายและป่าเถื่อน หลายคนบนรถโดยสารอยากจากไป
ข่าวชาวอเมริกันถูกยิงเป็นประเด็นทางการเมืองขึ้นมาทันที
เรื่องโยงไปสู่การก่อการร้ายโดยไม่ต้องรอเวลา

การสื่อสารระหว่างมนุษย์ล้มเหลว...

โทรศัพท์ข้ามทวีปถึงพี่เลี้ยงเด็กของลูกๆ
มีเพียงคำสั่งเมื่อสายตัดลงไป พี่เลี้ยงชาวเม็กซิกัน
ต้องเดินทางข้ามประเทศเพื่อกลับไปงานแต่งงานของลูกชาย
เธอตัดสินพาเด็กๆ ข้ามพรมแดนไปด้วย
เรื่องบางเรื่องเรียกว่าความตั้งใจได้ไหมนะ
อืม....ไม่รู้สิ

เรื่องจากตรงนั้นนำไปสู่การกระทำต่อเพื่อนมนุษย์
แบบแบ่งแยก การตัดสินของตำรวจ
(ในสายตาอาจมีเพียงผู้บริสุทธิ์หรือคนร้าย ไม่มีที่ว่างอื่นๆ)
ผมคลับคล้ายว่า กามูส์เคยกล่าวถึงเรื่องการตัดสินไว้ใน
มนุษย์สองหน้า มันติดในหัวมาตลอด...
การรับผิดชอบตัดสินใครเนี่ยมัน...แย่(ว่ะ)

ผมชอบรายละเอียดในเรื่องของเด็กสาวชาวญี่ปุ่น
หูหนวกและเป็นใบ้ โลกของเธอเชื่อมโยงกับอะไรบ้างนะ?
การสื่อสารถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก
หนังให้ภาพของการตัดสินอีกครั้ง การตัดสินจากภายนอก
ลูกนั้นออกแน่ๆ แต่ผู้มีอำนาจตัดสินเช่นเคย...

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า?
แต่รู้สึกว่าโตเกียวเป็นเมืองที่มีสรรพเสียงจำนวนมากปะทะกัน
ท่ามกลางความอลหม่านโกลาหลเช่นนั้น...
เสมือนเธอเดินอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างดุจเดียวกับ
ในภาคของเด็กชายชาวอาหรับ
และแม่เลี้ยงชาวเม็กซิกันที่ย่ำเท้าไร้ทิศทาง
(เข้าไปดูรูปโปสเตอร์หนังที่บล็อกคุณขามได้ครับ)

มนุษย์พลัดหลงเช่นนั้นนะ...ผมว่า
เราต่างพลัดหลง เคว้งคว้างไร้ทิศทาง
เมื่อเราไม่อาจสื่อสาร ไม่อาจเข้าใจซึ่งกันได้
โดยการยึดมั่นในมายาคติต่างๆ

ผมชอบฉากความล่มสลายในเธค
(เอ...โรคจิตไหมเนี่ย?)
เธอพลาดหวังนับครั้งไม่ได้
ทำทุกอย่างโดยปรารถนาจะสื่อสารกับโลกรอบข้าง
ตัวละครตัวหนึ่งพูดถึงเธอว่า
"มันหงุดหงิดเพราะไม่มีใครนอนด้วย"

เธอแสวงหาการสื่อสาร
วิธีการเดียวที่เธอคิดว่าจะเดินทางไปถึง
คือการสัมผัส
การได้แตะต้องเนื้อตัวจึงมีความหมายกับเธอมาก
(ในความคิดของผมนะ^^)

หนังใช้การตัดสลับระหว่าง
มุมมองของเธอกับโลกรอบข้าง
เสียงสนั่นหวั่นไหวรอบข้างไม่อาจเดินทางไปถึง
มีเพียงโลกกวัดแกว่งแสงสีเริงเล่นรอบข้าง
คล้ายความฝันมาเยือน
ทุกอย่างล่มสลายเมื่อเพื่อนสนิทของเธอเอง
คว้าความหมาย ความหวังของเธอไปต่อหน้า...

การปลดเปลื้องตัวเองออกจาก
เครื่องห่อหุ้มจึงเป็นวิธีการที่เธอเลือก
เมื่อเกราะของความไม่เข้าใจสูญสลาย
เราจะสื่อสารกันด้วยบางสิ่งที่สามัญยิ่ง

สองสามีภรรยาในโลกแปลกหน้า
เปลื้องปลดตัวตนของอดีตที่หลอกหลอนออกไปได้
สองพี่น้องชาวอาหรับโลกแตกสลายเช่นเดียวกับ
พี่เลี้ยงชาวเม็กซิกัน เราไขว่คว้าหมายยึดเกาะบางสิ่ง
สุดท้ายความหมายอยู่ในสายลม

ซานดิเอโกจากไปจากท้องเรื่อง
ชะตากรรมมีความหมายเช่นใดบ้าง
เขาอาจจะหนีรอด แล้วหลังจากนั้นล่ะ
กับเพื่อนของเขา และป้าของเขา
หนังทิ้งไว้ให้เราคิดต่อไปเอง...

เนื้อหาในจดหมายคืออะไร?
ความหมายใดที่ทำให้เธอกล่าวถึงการตายของแม่
ต่างไปจากผู้เป็นพ่อ...

ภาพค่อยๆ ถอยออกจาก
มุมสูงของตึกสูงแห่งหนึ่งในมหานคร
โลกแตกร้าว
เราแตกต่างแยกออกจากกัน
เมื่อหอคอยแห่งความสับสน
สถาปนาและสาบสูญ
ตำนาน มายาคติ
ทำให้เรามิใช่ "เรา"

ผมเขียนถึงเรื่องนี้ด้วยเหตุผลประการหนึ่ง
เพราะมีเรื่องครุ่นคิดกับประเด็นต่างๆ
ที่ไม่อาจเข้าใจได้ในวันนี้...

แต่อีกประการหนึ่งคือ
เหมือนพระเจ้าต้องการสื่อสารกับผม
วันนั้น ผมดูหนังไม่ค่อยมีสมาธินัก
เพราะมีคนเดินเข้าโรงภาพยนตร์ช้าเกือบครึ่งชั่วโมงไปสองคน
ผู้หญิงเข้ามาก่อน และอีกราวยี่สิบนาที
"เขา" ก็ตามเข้ามา...

บทสนทนาดังแทรกภาพยนตร์ตลอดเรื่อง
พวก "เขา" นั่งอยู่ติดกับเพื่อนของผม
ผมนั่งมองหน้าเขาหลายหน
เพื่อนพยายามห้ามให้อารมณ์เย็น

เมื่อเพลงขึ้นและแลงไฟสว่างขึ้น
ผมลุกขึ้นยืน รอให้เขาเดินผ่าน
เพื่อแตะข้อศอกเขาก่อนจะบอกว่า
การกระทำของเขาทำให้ผมชมภาพยนตร์ไม่รู้เรื่อง
ด้วยหมายให้ เขาไม่ทำเช่นนั้นอีกในครั้งต่อไป
ผมไม่รู้ว่าเขาเข้าใจความหมายนี้ไหม?
แต่ผมก็เดินหงุดหงิดออกจากโรงหนังในวันนั้น

"เรา" อาจไม่เข้าใจกันก็ได้...


ป.ล.
สังเกตไหมครับว่า...
ผมแบ่ง "เขา" และ "เรา" เช่นกัน
เฮ้อ...

ป.ล. สอง
หากข้อเขียนในวันนี้ทำให้คุณสับสน
และรู้สึกว่า (มัน) เขียนอะไรว่ะเนี่ย?
ผมถือว่าประเด็นการสื่อสารของมนุษย์น่ะ ล้มเหลว
ไปถึงทุกคนแล้ว ^^

4 Comments:

At 12:20 AM, Blogger AUY ^ ^ said...

อยากดูอ่าพี่ยีน เลยยีงไม่กล้าอ่าน
ไว้ได้ดูแล้วจะกลับมาอ่าน
อิอิ

 
At 9:44 PM, Anonymous Anonymous said...

ในหนัง
ผมค่อนข้างชอบเรื่องของเด็กสาวญี่ปุ่นมากที่สุดเหมือนกันครับ

มันเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว
ประชดประชัน เสียดสี

ในวัยของเด็กคนนั้น ใครๆ ก็อยากได้รับความสนอกสนใจ
อยากมีความรักกันทั้งนั้น(มั้ง)ครับ ^^

และที่คุณยีน พูดกับคนๆ นั้นหลังหนังจบ เป็นเรื่องที่ดีแล้วล่ะครับ

(วันนี้ผมพบกับความล้มเหลวด้านการสื่อสารอีกแล้ว... หลังสี่โมง ผมยังไม่ได้คุยกับใครเลยครับ การเข้ามาพิมพ์ข้อความในบล็อกคุณยีน ถือเป็นการสื่อสารครั้งแรกในหลายๆ ชั่วโมงที่ผ่านมา ฮ่าๆๆ)

 
At 8:59 PM, Anonymous Anonymous said...

น้องอุ๋ย...
จ้า กลับมาอ่านแล้วจะรู้ว่า...
ล้มเหลว อ่ะ ล้มเหลว
ฮ่าๆ

คุณขาม...
ในวัยสมัยนี้ของผมก็ยังต้องการนะครับ^^

แต่ว่าเราเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองมากขึ้นน่ะครับ
บางทีชาร์ต (ฌอง ปอล ชาร์ต) อาจจะพูดถูก
"นรก คือ คนอื่น" น่ะครับ แต่กระนั้นชาร์ตก็ยังมีคำว่า
being together - -
(คิดถึงตรงนี้ นรกในไตรภูมิพระร่วงขุมโลกันตนรกก็นิยามนรกไว้คล้ายๆ กัน มืดมิดแล้วอยู่กับใครไม่รู้ สัมผัสกันทีก็กัดกิน...)

ป.ล.
ดีใจครับ ที่บทสนทนาในสี่ชั่วโมงกว่าๆ นั้นมาถึงผมจนได้ อยู่กับตัวเองจะทำให้คิดอะไรได้มากขึ้นครับ แต่อย่างน้อยถ้าเบื่อสนทนากับคน คุยกับเพลง คุยกับมด แมลง ต้นไม้บ้างก็ดีครับ เผื่อมันจะเหงาเหมือนกัน...
ป.ล. สอง
ผมชอบบล็อกล่าสุดของคุณขามนะ เขียนยาวเหยียดเลย

 
At 10:32 AM, Blogger yanmaneee said...

curry 4
fila disruptor 2
balenciaga sneakers
fila disruptor
off white nike
kyrie 5
james harden shoes
michael kors handbags
coach outlet
moncler sale

 

Post a Comment

<< Home